หนีงานแล้วเดินเข้าป่า

เช้าวันหนึ่งหลังประชุม BNi กำลังจะไปทานข้าว ก็ดันได้ยินคำสนทนาลอยมาว่า จะไปเดินป่าเขาสก… เราหันขวับทันทีแล้วปรี่เข้าไปถาม ได้ความว่า พี่เบญแห่ง follow me tour กำลังแพลนไปเดินป่าเขาสก

เหตุผลที่ต้องหัน เพราะ

1 อยากไปเขาสก 
2 อยากเดินป่า

เรา ซึ่งเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ใจก็อยากไปอยู่นะ แต่ก็มีติดงานออกบูธที่เซ็นทรัล คิดว่า 50/50 ไปก็ได้ ไม่ไปก็ดี ถ้าไปคือหนีงาน

สรุปคือไปค่ะ 555 

วันเดินทาง เราและพี่เบญค่อนข้างออกมาเลทแล้วเพราะต่างก็ติดงานกัน สุดท้ายถึงที่พักเกือบๆ ห้าทุ่ม ระหว่างทางเป็นการทำ 1-2-1 แบบเชิงลึกเพราะเราต่างไม่เคยคุยกันเลยแล้วก็ต้องคุยกันยาวๆ หกชั่วโมงเรียกว่าวันเดียวรู้จักกัน 1/4 ของชีวิต ประจวบกับระยะเวลาระหว่างทางในป่าและเวลาขับรถกลับอีก จบทริปคือรู้จักกันเกือบครึ่งค่อนชีวิต

ทริปนี้เป็นการเดินป่าดูดอกบัวผุด ซึ่งหาได้ยากเพราะต้องอยู่ในป่าที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น จากนั้นจึงไปทานอาหารที่น้ำตก แล้วเดินออกมาจบที่อุทยานเขาสก ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร เริ่มเก้าโมงเช้าน่าจะจบหกโมงเย็น อันนี้เป็นแพลนคร่าวๆมากๆที่ทราบจากไกด์ในเช้าวันนั้น

ไกด์เราชื่อจา เป็นคนเขาสก ชำนาญป่าในระดับสิบ เพราะเคยอยู่ในป่ามาก่อน ตอนมารับเราพาลูกกับแฟนฝรั่งมาด้วย พีคมากตอนแม่พูดเยอรมันกับลูก แต่จาพูดใต้กับลูก ฮาดี จาเป็นไกด์ที่มีจิตวิญญาณความเป็นผู้นำทาง คือมีความสามารถและประสบการณ์เรื่องป่า มีอารมณ์ขัน มีความเข้าใจห่วงใยผู้ร่วมทาง และมีความรับผิดชอบสูง ส่วนทักษะเรื่องจับทากไม่ต้องพูดถึง เดินป่ารู้สึกอุ่นใจถ้ามีไกด์จา

ส่วนพี่เบญเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ที่ไม่ชอบเที่ยว มาเดินป่าเพราะใจเรียกร้อง พี่เบญจะหยุดเดินเมื่ออัตราการเต้นของหัวใจถึง 180 bpm  หายเหนื่อยแล้วเดินต่อ พี่เบญจะกรี๊ดลั่นป่าเมื่อเจอทาก แต่ก็สะกดจิตตัวเองให้เดินต่อ พี่เบญลื่นไปสี่รอบก็ยังลุกขึ้นมาเดินต่อ พี่เบญเป็นสาวแกร่งที่ใจสู้สุดๆ ถ้าอยากได้กำลังใจในการทำงาน วิธีคิดหรือ mindset เพื่อผ่านพ้นอุปสรรค เชื่อว่าพี่เบญจะให้แนวคิดที่มีประโยชน์มาก 😉

ส่วนเรา เป็นเจ้าของฟิตเนสที่อ้วน 555 มาเดินป่าเพราะชอบ trekking และคิดว่าการเดินป่าก็คงคล้ายกับการเดินเขา นี่คือการเดินป่าครั้งแรก เราเตรียมตัวเหมือนมาวิ่งเทรลคือ รองเท้าเทรล เป้น้ำ ถุงเท้ายาวและกางเกงขายาว legging ป้องกันทาก สิ่งที่กลัวที่สุดคือทากนี้แหละ 555

ช่วง 3-4 กิโลเมตรแรกคือทางขึ้นเขา ซึ่งสำหรับเราไม่ยากมาก เดินได้สัก 2 ชั่วโมงก็เจอดอกบัวผุด ใหญ่มาก ดีใจมากกก เพราะเคยเห็นแต่ในหนังสือที่อ่านตอนเด็กๆ สำรวจไปสักพักก็เจออีกดอกนึงยังไม่บานแต่กำลังจะบานในสองสามวัน ไกด์บอกว่าเราโชคดีมากเพราะก็กะเกณฑ์อะไรไม่ได้เลย ไม่รู้บานตอนไหน พอบานแล้วก็อยู่ได้ไม่กี่วัน ยิ่งถ้าฝนตกมากเค้าก็จะเน่าเร็ว ดอกบัวผุดเป็นพืชกาฝากที่อาศัยเถาย่านไก่ต้มซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์องุ่นอยู่ในป่าดิบชื้นแถบๆ บ้านเรา บานปีละครั้งช่วงหน้าฝน และจะมีกลิ่นเหม็นมาก แมลงวันบินว่อน

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เมื่อถึงจุดนี้แล้วก็กลับ แต่เราไม่กลับค่ะ เราจะเดินไปถึงน้ำตกธารสวรรค์ แล้ววนเป็นวงกลมตามลำน้ำไปเรื่อยๆ ไปจบที่อุทยานฯ จากจุดดอกบัวผุด เราใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมงเพื่อไปถึงน้ำตก ซึ่งเริ่มเป็นทางที่ไม่ค่อยมีคนเดิน ดูทางยากต้องมีไกด์เท่านั้น จำนวนทากไม่มากแค่พอหยอกๆ พอถึงปุ๊บจาก็บอกว่าเราจะทานข้าวกันด้านล่างน้ำตก (ยังไม่ถึงอีกเหรอ หิวจะแย่แล้ว) จากนี้ไปจะเป็นการไต่น้ำตกลงมา (อะไรนะ!)

น้ำตกธารสวรรค์เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในอุทยานเพราะความสูงชัน ทำให้น้ำที่ไหลลงมางดงามธารน้ำฟุ้งกระจายเหมือนสวรรค์ ค่ะ! เราก็ต้องไต่หินลงมาค่ะ ซึ่งค่อนข้างอันตรายมาก ต้องไต่ลงมาตามหินด้านข้างที่ไม่เปียกมาก มีการห้อยตัวเล็กน้อยพอให้ตื่นเต้น สุดท้ายกว่าจะถึงด้านล่างก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ความงามของน้ำตกและอาหารเที่ยงง่ายๆ สับปะรดและมะละกอ เป็นอะไรที่สดชื่นมาก

หลังจากนั้นก็เป็นทางที่ต้องลัดเลาะไปตามธารน้ำเหมือนในหนังเลยค่ะ จากที่พยายามสงวนรองเท้าไม่ให้เปียกแต่ทางน้ำตกยังไงๆ ก็ต้องเปียก แต่เรื่องนี้เตรียมใจมาแล้วเพราะวิ่งเทรลก็เปียก ช่วงหลังจากดอกบัวผุดจนถึงน้ำตกและหลังจากนี้ไม่มีทางชันแล้ว แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายใหม่คือทาก จากตัวแรก ตัวที่สอง เรียกจาให้ช่วยหยิบออก แต่พอตัวที่สี่ ตัวที่ห้า และตัวอื่นๆ จะเรียกจาก็ไม่สะดวก เลยต้องฝึกหยิบออกเอง ไม่พอก็ไปหยิบของพี่เบญให้อีก ช่วงแรกก็นับอยู่นะว่าเจอกี่ตัว แต่ก็ลืมเพราะมันเยอะเกิน ที่จำได้เพราะมันดูดเลือดแล้วคือหนึ่งตัวอยู่ขดในสะดือและหนึ่งตัวอยู่ใต้ท้องแขน สองตัวนี้ดึงเองไม่ออกเพราะมันใหญ่และน่ากลัว 555

จากน้ำตกจนถึงอุทยานคือระยะทางประมาณ 7 กิโล เราลัดเลาะตามธารน้ำมาเรื่อยๆจนถึงธารน้ำที่ใหญ่กว่า จาบอกให้พักแล้วเอาของที่เปียกไม่ได้มาให้เค้า เอ๊ะทำไมล่ะ จาบอกว่าเราต้องว่ายข้ามแอ่งน้ำนี้ไป!!!! อะไรนะ!!! … ว่ายน้ำนี้ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาแต่สนุกดีค่ะ ผ่านแอ่งนี้ไปก็เป็นทางในป่าลัดเลาะตามธารน้ำเหมือนเดิม จาบอกให้รีบเดินเพราะฝนจะตกเดินลำบาก ไม่นานฝนก็เทลงมา ช่วงท้ายของการเดินเกือบชั่วโมงที่ตากฝนเรารู้สึกฟินมาก รู้สึกสงบและเป็นหนึ่งเดียวกับป่า รู้สึกแบบนั้นทั้งๆที่มือก็ต้องเอาทากออกเรื่อยๆ มันชินแล้วล่ะ 555 

เราถึงอุทยานโดยสวัสดิภาพ พักเช็คทากกันเล็กน้อยก่อนเดินเท้ายาวๆออกไปด้านหน้าอุทยานอีก 3 กิโล ในทริปนี้เราได้เจอกับนาคเล่นน้ำกัน 3-4 ตัว น่ารักมากกกก แล้วก็ค่างแว่นที่ทักทายตอนขากลับ หมูบ้านที่กลายเป็นหมูป่าที่เจ้าหน้าที่อุทยานเลี้ยงไว้ จั๊กจั่น และทากทุกตัวในป่าและตัวสุดท้ายที่มาส่งก่อนขึ้นรถกลับ ตัวนี้กระดึ๊บๆอยู่บนแก้มเลยจ้าา

ขอบคุณไกด์จาและพี่เบญที่ให้เราเปิดประสบการณ์เดินป่าครั้งแรก สู้กับความกลัวทากและท้าทายกับเส้นทางธรรมชาติที่สมบุกสมบัน สนุกมาก ได้แนวคิดพัฒนาตัวเอง อีกเยอะเลย ไว้มีโอกาสต้องกลับไปเยือนเขาสกอีกครั้งแน่นอนค่ะ 🙂

มูซาชิ โดย สุวินัย ภรณวลัย

มูซาชิ เป็นหนึ่งในหนังสือเพียงไม่กี่เล่มที่อ่านรวดเดียวเกือบจบ

ที่อ่านไม่จบในคราเดียว เพราะมันหนากว่า 700 หน้า และได้เริ่มอ่านในวันสุดท้ายตอนไปเที่ยวสมุยแล้วค่ะ ตรงนี้เป็นข้อดีที่ว่า เราได้ชิลล์กับสมุยตลอดทั้งวีคเต็มอิ่มแล้ว ถ้าได้เริ่มอ่านวันแรกๆ คาดว่า อาจจะติดหนังสือมากกว่าติดบรรยากาศสมุยเป็นแน่

เหตุผลที่หยิบหนังสือเล่มนี้ เป็นเพราะสำนักพิมพ์ openbooks ที่เราชอบ เรื่องอื่นทั้งผู้เขียน ทั้งประวัติของมูซาชิ ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยค่ะ แต่อาจจะหยิบเพราะดีไซน์ปกและการแนะนำของสำนักพิมพ์ตอนเดินในงานหนังสือก็เป็นได้ แม้ว่าราคาก็เอาเรื่องอยู่เพราะความหนานี่แหละ

ดองไว้กี่ปีมิทราบ แต่เรื่องราวในหนังสือ ประกอบกับสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นไร้กาลเวลามาก ไม่รู้สึกเสียดายเงินเลยสักนิด เรียกว่า พออ่านเสร็จก็ขอมาเขียนรีวิวสักหน่อยเลยค่ะ เพราะยังเต็มอิ่มกับความรู้สึกอยู่

มูซาชิ เป็นซามูไรที่มีชื่อเสียงด้านวิชาดาบ และด้านปัญญามากๆ โดยเขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดช่วงชีวิตของเขาเอาไว้ใน คัมภีร์ห้าห่วง ซึ่งผู้เขียนเองได้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาให้เป็นลักษณะนิยายอิงประวัติศาสตร์อีกทีหนึ่ง ชื่อเต็มว่า มูซาชิฉบับท่าพระจันทร์ Musashi: Sword of Mindfulness อ่านแล้วเพลินมากมาย สนุกดีค่ะ

โดยในเนื้อหา เป็นการบอกเล่าชีวิตของมูซาชิ ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นทหารแพ้ศึก ไปจนถึงตอนพิชิตนักดาบฝ่ายตรงข้าม โคยิโร่ ซึ่งเหมือนเป็นจุดพีคของชีวิตมูซาชิ เร้าใจสุดๆ แล้วก็จบดื้อๆ 555 ทำให้เราต้องจินตนาการต่อไปเองว่า ชีวิตของเขาหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะกับ โอซือ ผู้หญิงที่เป็นที่รักของเขา

ความน่าสนใจของมูซาชิ ไม่ใช่แค่ความสามารถในด้านวิชาดาบที่เก่งกาจ หรือบุคคลิกภาพที่ดูเป็นคนคูลๆ ตามแบบซามูไรในหนัง แต่มูซาชิยังใช้ดาบนี่แหละ ในการฝึกใจและกายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรียกว่า เข้าถึงความรู้แจ้ง เข้าถึงสติ เข้าถึงตัวเองและสรรพสิ่ง ด้วยวิชาดาบของตน

ในขณะที่ มูซาชิ เป็นซามูไรที่มีตัวตนจริงๆ มีกิเลส มีโทสะ มีความรู้สึกเหมือนกับเราๆนี่แหละ อาจมีพลั้งพลาดให้ศัตรูบ้าง รู้ไม่เท่าทันคนอื่นบ้าง แต่ที่สำคัญคือ การพลาดพลั้งให้กับศัตรูในจิตใจของตัวเอง ซึ่งมีบ่อยมาก และทำให้เราเห็นว่าศัตรูที่แท้จริงที่สร้างผลกระทบได้มากที่สุด ก็คือตัวเราเอง ไม่ว่าจะมูซาชิ หรือจะใครก็ตาม

ในเนื้อหาอาจเป็นนิยายที่แต่งเติมให้มูซาชิดูเท่ ดูเก่งกว่าความเป็นจริงหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ แต่เรารู้สึกว่าผู้เขียนบรรจงถ่ายทอดได้ดีมาก มีความสมดุลระหว่างการบรรยายเรื่องราวโดยทั่วไปที่สนุกสนาน เพลินไปกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แล้วพาลให้นึกถึงเมืองต่างๆ ที่เราเคยไปเยือน คิดถึงญี่ปุ่นมากค่ะ กับในส่วนความคิดของมูซาชิที่ลึกซึ้ง กินใจ กระแทกกระทั้น สะท้อนให้เราต้องคิดตามอย่างกระหายใคร่รู้ สะใจดีค่ะ 555

ตอนหนึ่งที่ชอบ เมื่อมูซาชิสอนเหล่าชาวบ้านให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับโจรป่า โดยสอนใช้รู้จักเปลี่ยน ดาบ เสียม เป็นอาวุธ แล้วเก็บรวบรวมอาวุธของโจรไว้ป้องกันหมู่บ้านในอนาคต และสอนให้ชาวบ้านเห็นความได้เปรียบในกลุ่มของตน พร้อมกับสอนให้รู้จักสู้ ไม่ยอมอยู่ฝ่ายเดียว ตรงนี้สะท้อนให้เราเห็นว่า ปัญหาก็เหมือนกับโจรป่า ถ้าเรายอมให้ปัญหามาทำร้ายเรา เราก็จะเจ็บปวดอยู่ร่ำไป สู้ให้เรามองปัญหาในมุมที่แตกต่าง แล้วค่อยๆแก้ไปตามความสามารถของเรา ยอมรับและเผชิญหน้ากับมัน อาจจะต้องเจ็บบ้าง แต่ปัญหาจะทำให้เราแกร่งขึ้น แล้วปัญหานั้นๆ จะไม่สามารถทำร้ายเราได้อีก…

ตอนสุดท้ายในการประลองกับ โคจิโร่ นักดาบฝีมือไร้เทียมทานของยุทธภพ และเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกับมูซาชิ ณ ขณะนั้น เป็นหนึ่งในตอนที่ประทับใจ เพราะเราได้ติดตามชีวิตของทั้งสองมาตั้งแต่ต้น พอกำลังจะเริ่มประลอง มูซาชิก็บอกโคยิโร่ว่า เจ้าแพ้แล้ว! นั่นยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามโมโหและเสียสมาธิ พอเริ่มได้ดาบแรก มูซาชิซึ่งเตรียมมาเพียงไม้พายเรือ ที่ยาวกว่าความยาวของดาบโคยิโร่ ก็สร้างความได้เปรียบและพิชิตคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ เหล่านี้เพียงเพราะการเตรียมตัวมาอย่างดี การวางแผนที่รอบคอบ ความสุขุมมีสมาธิ และการเข้าใจถึงกระบวนท่าของดาบที่ทะลุปรุโปร่งของมูซาชินั่นเอง

มูซาชิ เป็นเหมือนตัวแทนของมนุษย์ธรรมดาที่สามารถพัฒนาให้อัจฉริยะได้ โดยผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจัง และผ่านความเข้าใจในเรื่องที่ตนถนัดอย่างถ่องแท้ ตกผลึก แล้วสามารถประยุกต์ให้มันเป็นแก่นในการดำเนินชีวิตได้อย่างลงตัว เป็นตัวอย่างให้เรานำไปใช้เพื่อพัฒนาชีวิตของเราทั้งทางกายและทางจิตวิญญาณได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ทำให้เราเห็นประสิทธิภาพของมนุษย์ เห็นคุณค่าในการใช้ชีวิต เห็นความหวังในปัญหาที่มืดมิด อ่านจบแล้วรู้สึกว่าพลังชีวิตเพิ่มมาโขเลยล่ะค่ะ 🙂

SAMUI MONKEYs TRAIL คุณหลอกดาว…

ต่อเนื่องจากประสบการณ์วิ่งเทรลครั้งแรกที่กระบี่ ล่อไป 40 กิโล แต่ไม่จบ เลยเป็นภาระใจให้ต้องสานต่อให้สำเร็จ หลังจากจบการวิ่งรอบแรกมา ก็บอกทุกคนว่า ไม่เอาแล้ว เหนื่อย นิ้วพัง เข่าพัง เท้าเยิน แต่ในที่สุดก็อดหางานวิ่งครั้งหน้าต่อไม่ได้ 555 สุดท้ายสมัครไปอีกสองงานจ่ะ คือ งานวิ่งเทรล 26 km ที่สมุย และ 57 km ที่พิษณุโลก

ไม่รู้ว่าติดใจการวิ่งเทรล หรืออยากเที่ยวกันแน่

ที่สมุยครั้งนี้เลือกแค่ 26 km เพราะอยากมาซ้อมสนามเพื่อเป้าหมายสนามถัดไปที่ดูจะเกินตัวไปหน่อย และอยากถือโอกาสมาเที่ยวสมุยด้วย ร่างจะได้ไม่พังเกิน

การเตรียมตัวครั้งนี้เรียกว่าแย่มาก 555 เพราะคิดว่าง่ายกว่าครั้งแรก ผ่านมาแล้ว 38 แค่นี่จิ๊บๆ ซ้อมวิ่งบ้างก็น่าจะพอ แถมไม่มีเทรนเนอร์คอยจ้ำจี้จ้ำไชเพราะนางไม่ได้ลงวิ่งด้วย แต่ก็คอยเตือนตลอดว่า พี่…วิ่งได้แล้ว พี่..วิ่งแล้วยัง พี่…วิ่งได้กี่โล… ไอ้เราก็ฟังบ้าง ชิลล์บ้าง สุดท้ายเป็นไงล่ะ ช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้าก็วิ่งได้อยู่หรอก แต่ช่วงสองสามวันสุดท้ายจะลองวิ่งเบาๆดู ก็ปรากฎว่า เหนื่อยมากกกกก ในใจก็คิดว่ากินเยอะๆก่อนวิ่ง น่าจะมีแรงเพิ่มขึ้นแหละ 55

การวิ่งรอบนี้ประเมินว่า ความยากจะอยู่ที่ช่วงกิโลเมตรที่สิบเพราะเป็นทางขึ้นเขา 1000 m ก็ดูเยอะเนอะแต่คิดไม่ออก ซึ่งเมื่อนั่งเฟอร์รี่มาลงสมุยแล้วเห็นเขากลางเกาะก็บอกคุณโอและคุณอ้อมผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันว่า เขาสูงจังเลยค่ะ เหอๆ จะไหวมั้ยเนี่ย ร่างกายประเมินไว้แล้วว่าไม่พร้อมเลย รู้สึกหวั่นๆ มีแต่ใจเท่านั้นที่สู้ ส่วนเวลา cut off อยู่ที่ 7 ชั่วโมง ซึ่งพอประเมินระยะทางแล้วรู้สึกว่า ไม่น่ายาก ไปเรื่อยๆน่าจะได้ แต่ช่วงแรกควรทำเวลาหน่อยเพราะมีเขาสูง

แล้ววันวิ่งก็มาถึง คุณอ้อมซึ่งพิชิตเทรลครั้งที่แล้วมาได้อย่างน่าภูมิใจ รอบนี้ก็ไม่น่าห่วง ถึงแม้นางบอกว่าไม่ได้ซ้อมเลย แต่เราเชื่อว่าสภาพร่างกายค่อนข้างโอเค แต่เรานี่สิ บอกว่าจะต้องลดน้ำหนัก แต่ไหงอ้วนขึ้นนะคะ กับคุณโอก็ไม่ต่าง เพราะพากันกิน 555

เริ่มวิ่งได้แค่ 3 กิโล ดิชั้นก็ออกอาการเหนื่อย จบแระงานนี้ คิดในใจ คุณโอและคุณอ้อมวิ่งห่างไปเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มแซงกันไปหมด รู้สึกแย่ที่ทำได้ไม่ดี แต่ก็พยายามกัดฟันวิ่งต่อไป แม้จะช้าแต่ต้องถึงเส้นชัยให้ได้ โอเน่นหยุดรอแล้วมาวิ่งเป็นเพื่อน คุณอ้อมนำไปเหมือนเดิม 55

เส้นทางสวย มีหลายแบบ หลายแนว แล้วสิ่งที่กลัวก็มาถึง นั่นคือทางขึ้นเขาค่ะ ไม่นึกว่ามันคือทางขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เทคนิคคือ ให้มองที่ขาสองข้าง ให้มั่นใจว่ามันจะก้าวออกไปเรื่อยๆ ทีละก้าวๆ ไม่ต้องก้าวยาว คุณโอบอกว่าให้ก้าวเล็กๆ ถี่ๆ เหมือนตอนขี่จักรยานขึ้นเขาแล้วใช้เกียร์ 1 อีกเทคนิคคือ ซอยเป้าให้เล็กๆ แล้วไปให้ถึง เพื่อให้เกิด small wins แปลว่า ไม่ต้องไปคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงยอด แต่ให้เอาจุดใดจุดนึงระหว่างทางเป็นเส้นชัยของเรา พอถึงแล้วจะได้รู้สึกดีกับตัวเอง แล้วทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงยอดนั่นแหละ เราว่าความรู้สึกมันต่างมากๆ เวลาคิดว่า เมื่อไหร่จะถึงยอด เพราะมันท้อตั้งแต่ยังไม่เริ่มวิ่ง มันจะรู้สึกแย่และเสียพลังใจไปหมดแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม การขึ้นเขาที่ว่าเหนื่อยแล้ว ไหนจะสู้การวิ่งลงเขา คุณพระ หน้าขาข้าพเจ้านี้ระบมไปหมดแล้ว เพราะมันต้องเกร็งเพื่อชะลอความเร็ว และคอยระวังไม่ให้ลื่นล้ม เป็นอะไรที่ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ 555 นิ้วเท้านั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะวิ่งครั้งที่แล้วก็ยังไม่หาย

เมื่อเข้าช่วงท้ายๆ คือน้ำตกธารเรือ ตรงนี้เหมือนเป็นโอเอซิสในทะเลทราย เพราะนอกจากจะได้สดชื่นลุยน้ำแล้ว ยังมีจุดพักที่มีของกินดีงามและที่สำคัญคือมีห้องน้ำค่ะ มันคือดี เพราะการปวดฉี่ตอนวิ่งมันทรมาน แม้ว่าจะเทรนมาแล้วว่าให้ค่อยๆจิบน้ำ จิบเกลือแร่ แต่ไหงทำไมยังปวดฉี่ล่ะ

พอลงมาจากเขาแล้ว ก็จะเป็นทางลาดยางชิลล์ๆ ในหมู่บ้าน เพื่อตรงไปชายหาดนิดหน่อย ก่อนเลี้ยวเข้าโรงเรียน ซึ่งเป็นจุดเริ่มและจุดเส้นชัย ตรงนี้เราเหลือเวลาเป็นชั่วโมง เลยบอกโอเน่นว่าไม่ต้องวิ่งแล้วเถอะ เหนื่อยแล้ว เหลืออีก 6 กิโลเอง (วิ่งมาแล้ว 20) เดินๆ เอาก็ถึง ยังไงๆ ก็เข้าเส้นชัยแน่นอน ตอนแรกนางไม่ยอม แต่ตะคริวเล่นงานพี่แกพอดี เลยต้องจำยอม 555

พอมาถึงชายหาดเห็นหลายคนวิ่งแซงหน้าเราไป ในใจก็คิดว่า เค้าคงอยากทำเวลาให้ดี เราไม่ต้องรีบก็ได้ เช็คใน google map เหลือไม่ถึงหนึ่งกิโล กับเวลา 30 นาที สบายมาก พอถึงจุดให้น้ำมีเจ้าหน้าที่บอกเราว่า “สู้ๆ นะคร้าบบ เหลืออีก 2.7 กิโล เท่านั้น!” เอ๊ะ ยังไง? เลี้ยวอีกนิดก็ถึงโรงเรียนแล้วหนิ พอวิ่งไปอีก เจอเจ้าหน้าที่อีกคนเดินสวนมา “เอ้าสู้ๆนะค้าา เหลือวิ่งบนหาดอีก 2 กิโลเท่านั้น!” อ้ะ อีกแล้ว! ก็วิ่งบนหาดมาแล้วนี่นา สงสัยพี่เค้ามั่ว…

พอเลี้ยวครั้งสุดท้ายเห็นรั้วโรงเรียนแล้ว ได้ยินเสียงเชียร์แล้ว ระยะทางก็ครบแล้ว แต่ไหงลูกศรให้เลี้ยวไปอีกทาง?!?!?

ซวยแล้ว! หรือเค้าให้วิ่งลงหาดด้านหลังโรงเรียน แล้วอ้อมขึ้นมาอีกทาง ตอนนี้สมองคำนวนเส้นทางใหม่เลยค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเส้นทางจะเพิ่มขึ้นมาแค่ไหน ในใจก็คิดว่า คุณหลอกดาว…ไหนว่า 26kg จุดนี้ต้องวิ่งเข้าไว้ เพราะความกลัว cut off เข้ามาหลอกหลอน จะมาตกม้าตายตอนจบไม่ได้นะ เราวิ่งนำโอเน่นที่ยังมีอาการตะคริว ไม่ใช่จะทิ้งแต่อยากเช็คว่าเราต้องวิ่งไกลแค่ไหน กับเวลาที่เหลืออยู่แค่เดินจะถึงมั้ย ตรงนี้เป็นโขดหินใหญ่ๆ ริมหาด ค่อนข้างอันตราย เรามองแต่พื้นไม่ได้มองข้างหน้าเลยโดนขอนไม้ผางเข้าให้เต็มหน้าผาก มึนเลยค่ะ ผ่านจุดนั้นมาก็เป็นทางขึ้นหลังโรงเรียนพอดี รอดไป สรุปว่าเกินมา 2 กิโล และเหลือเวลาอีกประมาณ 18 นาทีก่อน cut off

สำเร็จแล้วจ้า! ได้เสื้อ finisher มาอย่างภาคภูมิใจ พร้อมต้นขาที่ชอกช้ำ เล็บเท้าที่พังกว่าเดิม และรูบนหน้าผากอีกนิดหน่อย

การวิ่งครั้งนี้สอนให้รู้ว่า…

การซ้อม เป็นสิ่งสำคัญมาก แม้ใจเป็นนายร่างกายเป็นบ่าว ใจสู้แต่ใช่ว่าร่างกายจะไหวนะ ต้องเตรียมร่างกายให้ดีก่อน

การตั้งเป้าหมายเล็กๆ แบบ small wins ช่วยให้เราทำเป้าหมายใหญ่ๆ ให้สำเร็จได้ง่ายขึ้น ถ้าเราเงยหน้าดูยอดเขาแล้วถอดใจว่าเมื่อไหร่จะถึง มันก็คงไม่ถึงแล้วล่ะค่ะ ในทางกลับกัน ถ้าเราตั้งเป้าให้ง่ายขึ้น เช่น ไปให้ถึงต้นไม้นั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน ความรู้สึกดีที่เราไปถึงได้ จะช่วยให้เรามีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อ เพื่อพิชิตเป้าหมายถัดไป

ทุกๆ สนามมีเรื่องราวไม่คาดฝันเสมอ อย่าวางใจ อย่าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน เตรียมตัว ตื่นตัวอยู่ตลอด มีแผนสำรองอยู่เสมอ

จง enjoy กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น วิวข้างทาง มิตรภาพดีๆ ผู้คน เจ้าหน้าที่ที่คอยให้กำลังใจ บรรยากาศธรรมชาติ ความสดชื่นจากน้ำตก และเครื่องดื่มเกลือแร่เย็นๆ ระหว่างทาง โดยเฉพาะโค้กที่ยอมไม่กินตอนวิ่ง แล้วซัดคนเดียวหมดขวดลิตรหลังแข่ง โอ้ยย ฟินมากก ความสุขจริงๆก็ง่ายๆแค่นี้เอง

เส้นชัยเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ ความรู้สึกนี้มันช่างคุ้มค่าเหลือเกินกับความเหนื่อยล้า และการที่ต้องฟันฝ่าอะไรหลายๆอย่าง

เส้นชัยแต่ละคนไม่เท่ากัน จะ 5km 26km 38km 60km หรือ 100km ก็เปรียบเทียบกันไม่ได้ เหมือนกับที่เราไม่ควรเปรียบเทียบ ‘ความสำเร็จ’ ของเรากับใคร ให้เปรียบเทียบกับตัวเองเท่านั้น ว่าสู้เต็มที่แล้วยัง ดีขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า

จบเส้นชัยนี้ ก็ต้องมีเส้นชัยอื่นต่อไป อย่าหยุดฝัน อย่าหยุดเดิน อย่าหยุดอยู่กับความสุขที่เป็นอดีต ต้องก้าวต่อไป สู้ต่อไปนะคะ 🙂

#SamuiMonkeysTrail2020 #15Nov2020

วิ่งเทรลครั้งแรกในชีวิตกับระยะ 40 km

เหตุผลหลักๆ ที่ลงระยะไกลสุดของสนามนี้คือ ระยะอื่นเต็มหมดแล้ว เหลือแต่ 10km ที่ไม่มีเสื้อ finisher เพราะความงกเป็นเหตุ คิดว่าราคาต่างกันไม่กี่บาท วิ่ง 40km ได้เสื้อตั้งสองตัว คุ้มกว่ากันเยอะ (คิดง่ายๆ ว่าคงวิ่งเข้าเส้นชัยสินะ 555)

พอใกล้จะกดจอง เกิดหวั่นใจ จะไหวมั้ยวะ เกิดมาวิ่งแต่ฟันรัน 5km ที่ยิมก็วิ่งต่อเนื่องได้ไกลสุดแค่ 16km สองชั่วโมงติด น้ำหนักตัวก็เยอะ แต่พอเทรนเนอร์ผู้ร่วมชะตากรรมบอกว่า ไหวอยู่แล้วพี่ วิ่งเทรลสนุก ได้กินลมชมวิว พอเห็นเวลาคัดออฟ 9.30 hours โอ้โห นานจัง จะวิ่งสักขนาดไหนเชียว สัก 6 ชั่วโมงก็น่าจะจบ งั้นสรุปจองเลยก็แล้วกัน

เรามีเวลาเพียง 1 เดือนในการเตรียมตัว ทั้งๆ ที่มีเทรนเนอร์ที่วิ่งเก่ง แนะนำทุกอย่างแล้ว ก็เหมือนกับเราไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ วิ่งต่อเนื่องได้แค่ 17km มากขึ้นมาหน่อยนึง ช่วงหลังๆ ต้องปรับปรุงยิม ทำนู่นทำนี่ เลยไม่ได้ซ้อมมากเท่าที่ควร ก่อนวันแข่งหนึ่งสัปดาห์ก็มีอาการประหลาด ปวดคอ ปวดหลัง แบบทรมานมากอีก นี่แหละข้ออ้างอย่างดีที่เราไม่ต้องซ้อมวิ่งสินะ 😀

ในที่สุดวันแข่งขันก็มาถึง ทีมฟิตแลบหาดใหญ่ แยกกันวิ่งคนละบล็อก เทรนเนอร์นำไปก่อน เราและคุณโอที่วิ่งด้วยกัน เพื่อนอ้อมและพี่นาอยู่บล็อกถัดไป วิ่งไปแปบเดียวเพื่อนอ้อมก็แซงไปฉิวค่ะ นางบอกว่าไม่ได้ซ้อมเลยแต่เห็นได้ชัดว่าฟิตกว่าเราเยอะ 555 

ทางช่วงแรกๆ ไม่มีอะไรมาก ก็เป็นการวิ่งในป่าปาล์ม ป่ายาง ขึ้นๆ ลงๆ ควน จนเริ่มไปเจอโคลนนี่แหละ รู้สึกเสียดายรองเท้าที่ซื้อมาแพงมาก 55 เราต้องรีบทำใจยอมรับและก้าวต่อไป แต่จริงๆแล้วสิ่งที่หยุดเราคือการวิ่งลงเนิน บอกเลยว่ากลัวมาก กลัวลื่น บวกกับน้ำหนักที่เยอะไปหน่อย ลื่นธรรมดาอาจจะเป็นเจ็บปวดกว่าปกติ โอเน่นก็พร่ำบอกว่า trust your shoes! เราก็ยังลงช้าๆ จนพี่ข้างหลังบอกว่า ‘รองเท้ามีดอกคับน้อง’ เออจุกไปแปบ 555

จนเมื่อเข้ากิโลเมตรที่ 15 พลังเริ่มหมด เวลาก็ใช้เยอะเกินไป เราก็ไม่เตรียมเครื่องดื่มให้พลังอะไรทั้งนั้น กรดแลคติกเริ่มจู่โจม ขาทั้งสองแทบยกไม่ไหวแล้ว ช่วงนี้ป้อแป้มาก นึกถึงตอนที่เทรนเนอร์บอกว่าให้เตรียม power gel ไปด้วย แต่เราก็ละเลย พอได้เครื่องดื่มเกลือแร่ระหว่างทางเลยค่อยยังชั่ว ยังกัดฟันต่อไปได้ จนพอเข้ากิโลเมตรที่ 25 พี่ๆ หลายคนที่เกาะกลุ่มกันมา ผลัดกันแซง ผลัดกันตาม จนเค้าสลัดเราหลุดจริงๆ ตอนที่เราอารมณ์เสีย พักเปลี่ยนถุงเท้า เพราะโอเน่นเอาน้ำในลำธารมาล้างขาให้ แล้วน้ำก็เข้าไปในรองเท้าหมดเลย เราโกรธมากเลยเพราะวิ่งไม่สะดวก แต่จริงๆ ไม่จำเป็นต้องหยุดเปลี่ยนถุงเท้าเลยด้วยซ้ำ เพราะอีกไม่กี่กิโลเมตรเราก็ต้องลุยน้ำ ผ่านน้ำตกอยู่ดี … 555

เมื่อกิโลเมตรที่ 32 ผ่านไป เราต้องวิ่งผ่านถ้ำ ผ่านน้ำตก และป่าดงดิบอีกรอบ ในใจก็นึกถึงเวลาคัดออฟที่ 7.30 ชั่วโมง ณ กิโลเมตรที่ 38 เอ๊ะจะทันมั้ยวะ นี่ก็ใกล้ชั่วโมงที่เจ็ดแล้วเหลืออีกหลายอยู่นะ คำนวนในใจคือต้องวิ่งตลอดเวลาจนถึงเป้าหมาย แต่คือแบบ เหนื่อยว่ะ เลยบอกโอเน่นว่า ทำเต็มที่แล้วกัน เราช้ากันเองตอนต้นๆ ตอนนี้จะให้เร่งก็ไม่รอดแล้ว พอไปถึงที่กิโลเมตรที่ 38 เค้าเริ่มเก็บโต๊ะกันแล้ว และเจ้าหน้าที่ก็บอกเราว่า โดน DNF ตอนนั้นรู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ทำไม่สำเร็จ เหลือบดูเวลาเรามาถึงที่นี่ตอน 7.41 คือช้าไป 11 นาที เห้อ..

เราเดินคอตกไปกับน้องสตาฟ เพื่อรับเหรียญและถุงอาหาร แล้วเราก็เดินเรื่อยๆตามทางที่เค้าจัดงาน แต่อยู่ๆ น้องสตาฟก็เรียกให้เราไปรับเสื้อ finisher เฉยเลย เราก็รับมาแบบงงๆ ถ้าตามความคุ้มค่า โอเคได้ตามเป้า 555 แต่พูดถึงความรู้สึกตอนนั้นก็ fail อยู่ สักพักก็เจอเทรนเนอร์ที่ยังดูสภาพดี พร้อมกับชูถ้วยรางวัลอันดับหนึ่ง โอ้วแม่เจ้า สุดยอดมากกก น้องก็บอกว่าดีแล้วพี่ ที่ไม่ต้องขึ้นเขานั้น พี่ต้องแย่แน่ๆ เพราะเป็นสองกิโลสุดท้ายที่โหดสุด ทางขึ้นว่ายากแล้วตอนลงไม่รู้จะลงยังไง ต้องไถลลงมา อะไรประมาณนี้ ส่วนพี่นาก็โดนเทรนเนอร์เรียกให้กลับตั้งแต่กิโลเมตรที่ 28 เรากะโอเน่นน่ะหรือ ไม่มีใครโทรมาเตือนเพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ 555 ทีนี้ก็เหลือแต่เพื่อนอ้อมที่ไม่รู้อยู่ไหน เรารอจนเกือบจะครบเวลาคัดออฟที่ 9.30 แล้ว ในที่สุดก็เห็นเพื่อนอ้อมวิ่งมาแบบหมดแรง หยุดที่เส้นชัยแบบงงๆ หน้าแบบเหนื่อยหมดแรงสุดๆ น่าเห็นดูมาก แต่ก็ต้องยกนิ้วให้เพราะผ่านเข้าเส้นชัยเป็นคนเกือบสุดท้าย สุดยอดจริงๆ 

เรากลับโรงแรมในสภาพอิดโรยสุดๆ ขาคือใช้การไม่ได้แล้ว นิ้วเท้าเจ็บปวดระบม หัวเข่าก็อกแก็ก เดินกะเผลกๆ แต่ก็รู้สึกติดใจการวิ่งเทรลเข้าแล้วสิ เทรลหน้าต้องแก้ตัว ไหนๆ พร็อบก็พร้อมแล้ว ขอลดน้ำหนักสักหน่อย เทรลรอบหน้าต้อง reach finish line ให้ได้ค่ะ 🙂

#KrabiInternationalTrail2020 #6Sep2020

One Plus One Equals Three |Dave Trott

IMG_9426

One Plus One Equals Three | Dave Trott

ติดตามหนังสือเล่มนี้มาจาก Podcast ของอาจารย์นพดลและคุณรวิศเลยค่ะ (และคงมีอีกหลายๆ เล่มที่ได้ฟังมาจากทั้งสองท่านนี้) ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่เคยผิดหวัง อาจเป็นเพราะชอบอะไรคล้ายๆ กัน 555 มโนไปไกล 

Dave Trott เป็นนักโฆษณาที่เก่งกาจคนนึงในวงการ แต่จะบอกว่างานเขียนของเค้าก็ไม่ธรรมดาค่ะ วิธีการเล่าเนื้อหา หาข้อมูล และเรียบเรียงตัวหนังสือของเค้า ทำให้เราวางไม่ลง อดทึ่งไม่ได้ว่าพี่แกไปเอาเรื่องราวเหล่านี้มาจากไหน เพราะทั้งสนุก และทั้งสอนอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะความคิดสร้างสรรค์และการใช้ชีวิตของเรา

ไอเดียของหนังสือเล่มนี้ คือการขยายขอบเขตความรู้ของเราที่อาจไม่เกี่ยวข้องกันเลย เป็นความรู้กว้าง ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลในความคิดเชิงสร้างสรรค์ เพราะยิ่งเรารู้รอบ ก็ยิ่งเป็นไปได้ที่เราจะมีวิธีคิดที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยเป็น เราอาจเชื่อมโยงความสนใจในหลายๆ เรื่องเหล่านั้น แปรเปลี่ยนและตกผลึกเป็นความคิดที่แปลกใหม่ เป็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ 

หากยังยึดติดกับความรู้ที่เรามี ขยายความรู้เท่าที่เราสนใจ ก็เหมือนกับ 1+1 = 2 คือความรู้เรื่องใดเรื่องนึงที่มากขึ้น ลึกขึ้น ซึ่งก็ดีนะ แต่การรู้กว้างอาจเป็นประโยชน์มากกว่า มันอาจจะเป็น 1+1 ที่ได้มากกว่า 2 เพราะอาจทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาได้เลย ซึ่งน่าจะจำเป็นกว่าในยุคสมัยนี้

หนึ่งในเรื่องราวที่ผู้เขียนเล่าให้ฟังคือเรื่องของเด็กหญิง Tilly Smith อายุ 10 ขวบ เธอใช้ความรู้เรื่องสึนามิที่เพิ่งเรียนมา บอกพ่อให้เตือนทุกคนบนชายหาดก่อนที่จะเกิดสึนามิขึ้นจริงๆ ทำให้หาดไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต เป็นเพียงสถานที่เดียวในภัยพิบัติสึนามิปี 2004 ที่ไม่มีใครเสียชีวิต เธอได้ช่วยชีวิตคนไว้กว่า 100 คน จากผู้เสียชีวิตราว 250,000 คนทั่วชายฝั่ง 13 ประเทศ จริงๆ แล้วต้องชื่นชมคุณพ่อด้วยที่เชื่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ ยอมคิดว่าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ก็ยอมเสียหน้าดีกว่าจะมาเสียใจในภายหลังแล้วกลับไปแก้อะไรไม่ได้ 

ตรงนี้ทำให้เราเรียนรู้ว่า การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ต้องนึกถึงผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้น แล้วถามตัวเองว่ารับได้มั้ย มันเทียบกันได้มั้ยกับผลที่เกิดขึ้นหากไม่ได้ทำ การลงทุนทำอะไรก็เหมือนกัน แย่ที่สุดคือขาดทุนทั้งหมด แล้วต้องถามตัวเองว่าถ้าเป็นแบบนี้จะรับได้มั้ย นั่นแปลว่าเราก็ไม่ควรทุ่มทุนที่มีทั้งหมด แต่ควรจะเก็บไว้เป็นทุนสำรองบ้าง 

นอกจากนี้ การศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราไม่มีทางรู้เลยว่า อนาคตเราจะได้เจอกับอะไรบ้าง Tilly คงแปลกใจกับน้ำทะเลที่แห้งไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดสึนามิถ้าเธอไม่เคยเรียนเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นการมีความรู้ไว้ไม่เสียหายและยังช่วยอะไรได้อีกมากทั้งในการใช้ชีวิต และการทำธุรกิจ

อีกเรื่อง เป็นเรื่องของตัวผู้เขียนเอง เค้าพูดถึงร้านดอกไม้ที่โทรหาเค้าก่อนวันวาเลนไทน์ 1 อาทิตย์ เพื่อถามว่าปีนี้จะรับดอกไม้หรือเปล่า นี่เป็นการทำการตลาดและการจัดการสต็อกที่ดีมาก เพราะร้านดอกไม้รู้กลุ่มเป้าหมายตัวเอง เข้าใจว่าดอกไม้วันวาเลนไทน์เป็นสิ่งที่ผู้ชายต้องสั่ง แต่มักจะลืม และสั่งเมื่อใกล้จะจวนเจียนแล้ว จะดีกว่ามั้ยถ้าร้านดอกไม้จะอำนวยความสะดวกให้ รับออเดอร์ก่อนและส่งให้ในวันที่ต้องการ ตัดปัญหาลูกค้าลืมและกระวนกระวายใจ ร้านตัดปัญหาการกะออเดอร์ไม่ถูก และตัดปัญหาแย่งลูกค้าในวันสำคัญ เรียกว่า win win กันทั้งคู่

ตัวอย่างนี้นำไปปรับใช้กับการทำธุรกิจได้เยอะมาก อย่างน้อยๆ เราต้องรู้จักลูกค้าของเรา ควรใช้ฐานข้อมูลลูกค้าให้เป็นประโยชน์ บุกตลาดก่อนที่คู่แข่งจะบุก และบริการลูกค้าอย่างดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าประทับใจกลับมาใช้ซ้ำ

ยังมีอีกหลายเรื่องที่อ่านสนุกมาก แล้วก็ได้รู้อะไรขึ้นอีกเยอะมาก ใครอยากขยายความรู้เพื่อวันนี้และอนาคตเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ แนะนำเลยค่ะ ส่วนตัวอย่างอ่านภาษาอังกฤษมากเพราะน่าจะอ่านง่าย และได้อรรถรสดีเหมือนกัน รอบหน้าเล่มเก๋าของนักเขียนท่านเดิม Predatory Thinking จึงสั่งแบบภาษาต้นฉบับมาแล้วค่ะ รออ่านแล้วเนี่ย 🙂

Becoming | Michelle Obama

Becoming | Michelle Obama

9C9DCCEC-078A-4832-B6BA-C71B7559334A.JPG

ได้เห็นหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกในรายการของ Ellen ในตอนที่ Michelle Obama ไปออกรายการ ซึ่งเป็นช่วงที่ Barack Obama ใกล้จะหมดวาระประธานาธิบดีสหรัฐฯ จำได้ว่า วันนั้นเธอพูดถึงชีวิตตัวเองในทำเนียบขาวตลอดแปดปี และชีวิตในอนาคตของเธอ ตลอดจนโปรโมทหนังสือของเธอ 

ส่วนตัวไม่ได้ตามติดชีวิตครอบครัวนี้ แต่รู้ว่าเป็นครอบครัวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ Barack ที่มีลุคเป็นผู้นำของโลกสมัยใหม่ที่น่าเกรงขาม สมาร์ท ดูฉลาด พูดจาฉะฉาน ส่วน Michelle ก็เป็นผู้หญิงที่ดู Strong มีความเป็น Independent Woman สุดๆ แล้วยังมีความมั่นใจ แต่งตัวดี เหมาะสม เวลาไปออกรายการที่ไหนก็รู้สึกว่าน่าติดตาม อยากฟังเค้าพูด เพราะรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงฉลาด เพราะเราชอบคนที่ฉลาดทางความคิด (อยากเป็นแบบนนั้นบ้าง 555)

นั่นคือทั้งหมดที่เรารู้สึก

แต่หนังสือเล่มนี้ กลับบอกเล่าเรื่องราวของเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึง ที่เติบโตมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก ที่ให้อิสระทางความคิดกับเธอ สังคมที่ดูเหมือนจะเปิดกว้างให้กับคนผิวสี เอาจริงๆ ก็ยังแอบมีเหยียดๆ อย่างรู้สึกได้ ผลักดันให้เธอรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเรียกร้องความเสมอภาคอย่างแท้จริง มีครั้งนึงที่เธอจำได้แม่น เมื่อเพื่อนผิวขาวของเธอพูดกับเธอว่า ‘ทำไมเธอพูดแบบคนผิวขาวเลย?’ คำพูดนั้นยังติดอยู่ในใจเธอมาโดยตลอด

Michelle เป็นคนตั้งใจเรียน ฉลาดและรักการเรียนรู้มากๆ บวกกับความเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ของเธอ ทำให้ Michelle มีโอกาสที่ดีในชีวิตทั้งในด้านการเรียนและการทำงาน มีโอกาสได้ทำงานช่วยเหลือสังคมและรู้จักเพื่อนๆ ในวงการเมือง การสาธารณะสุข มากมายที่สนับสนุนและส่งผลให้เธอได้ทำงานตามเป้าหมายหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพของเด็กและเยาวชน จนเมื่อเธอได้พบกับ Barack ได้สร้างครอบครัวเหมือนชาวอเมริกันทั่วๆไป ที่ต้องทั้งทำงานหนัก ทั้งต้องแบ่งเวลามาเลี้ยงลูก ครุ่นคิดถึงเป้าหมายในชีวิต คิดถึงค่าใช้จ่ายและสุขภาพของตัวเอง บลาๆ ประกอบกับความสัมพันธ์ที่มีระยะทาง เพราะ Barack ต้องทำงานที่ไกลบ้านและก็มีภาระงานหนักอีก 

เหล่านี้ก็เหมือนจะหนักหนาแล้วนะสำหรับผู้หญิงคนนึง แต่แล้วชีวิตของเธอก็ต้องพบกับการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ เมื่อ Barack ได้โอกาสลงสมัครประธานาธิบดี สิ่งที่เธอแบกรับอยู่ก่อนแล้ว กับภาระหน้าที่ที่จะต้องเข้ามาอีก แบบนี้คือชีวิตที่เธอปรารถนาหรือไม่? แต่ด้วยความที่อยากสนับสนุนสามีและเหตุผลที่ว่า ความสามารถของ Barack อาจเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ เธอจึงตกลงร่วมหัวจมท้ายไปกับ Barack ซึ่งนั่นเราว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวมาก ที่เธอยอมสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนอื่น และเราว่า มันเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดเลย

ภายในเล่มจะแบ่งเป็นส่วนๆ ส่วนแรก Becoming Me จะเป็นช่วงชีวิตของเธอตั้งแต่เด็กจนโต สังคม โรงเรียน เพื่อนบ้าน ครอบครัว สิ่งที่หล่อหลอมให้เธอเป็นเธอจนถึงทุกวันนี้ ส่วนพาร์ทที่สองคือ Becoming Us ช่วงชีวิตที่เธอกับ Barack ได้รู้จักและใช้ชีวิตร่วมกัน ช่วงเวลาที่ต่างคนต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน คอยสนับสนุนเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องชีวิต หรือแม้แต่ปัญหาที่ทุกคู่ต้องเจอโดยเฉพาะเรื่องเวลาและเรื่องงาน จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ครอบครัว Obama ได้เข้ามาอยู่ในทำเนียบขาว ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวอย่างไร สุดท้าย Becoming More คือช่วงเวลาที่ครอบครัวนี้ได้ทำงานในทำเนียบขาว และได้ส่งต่อแนวคิดและวิธีปฏิบัติ ผ่านนโยบาย ผ่านแคมเปญต่างๆ ไปสู่ชาวอเมริกันอย่างไรบ้าง เพราะเหตุใด ซึ่งเราจะได้เห็นเบื้องหลังการทำงานของ Barack และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ตลอดจนคนอื่นๆในทำเนียบขาว เสมือนว่าได้เข้าไปอยู่ด้วยกันในนั้นก็ไม่ปาน อ่านแล้วเพลินดีเหมือนกำลังดูหนังที่มีทำเนียบขาวเป็นฉากหลัก

ดังนั้น หนังสือเล่มนี้เป็นการทำความรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง ผ่านชีวิตที่เรียบง่ายบ้าง ตื่นเต้นบ้าง เหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่ก็ถือว่าเป็นชีวิตที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม มีน้อยคนนักที่จะได้ทำความรู้จักกับสตรีหมายเลขหนึ่งอย่างใกล้ชิด ผ่านตัวหนังสือที่ให้ความรู้สึกสนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง พาเราเข้าไปเดินเที่ยวในทำเนียบขาวแบบทะลุปรุโปร่ง อีกอย่างคือการได้ทำความรู้จักกับ Barack Obama ในอีกมุมหนึ่งที่ใกล้ชิดไม่แพ้กัน ได้อ่านความคิดที่สะท้อนผ่านมุมมองของภรรยาที่เคารพรักและให้การสนับสนุนอยู่เสมอ จากที่ไม่ได้รู้จักอะไรมากมาย ก็กลายเป็นรู้สึกประทับใจในครอบครัวนี้มากๆ และได้เรียนรู้อะไรจากครอบครัวนี้ไปมากมายเหมือนกันค่ะ แนะนำสำหรับคนที่เป็นแฟนคลับ Obama ชอบในความเป็นสังคมอเมริกัน เล่มนี้ตอบโจทย์ และจะส่งแรงบันดาลใจให้คุณไม่มากก็น้อย

The Happiness Manual พฤติกรรมความสุข โดย ณัฐวุฒิ เผ่าทวี

IMG_5510The Happiness Manual พฤติกรรมความสุข โดย ณัฐวุฒิ เผ่าทวี

กลับมารีวิวแล้วจ้า!! กลับมาพร้อมกับหนังสือน่าอ่าน และอ่านสนุกที่จะทำให้เรามีความสุขขึ้น  The Happiness Manual โดยศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมและเศรษฐศาสตร์ความสุข คนที่สองของโลก!!!

ต้องเล่าก่อนว่า แปลกใจเล็กๆ ที่ได้ยินชื่อสาขาวิชานี้ ส่วนอีกใจนึงก็แอบตื่นเต้นว่า น่าจะเป็นสาขาที่น่าสนใจ น่าเรียนมิใช่น้อย 

จริงๆ แล้วประเด็นเรื่องพฤติกรรมความสุขกำลังเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจมากขึ้น เพราะมันเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันนี้ ให้ดี ให้มีความสุขนั่นเอง เพราะทุกวันนี้เรามีสิ่งยั่วยุมากมาย เทคโนโลยี ค่าครองชีพที่เปลี่ยนไป มีค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนบางครั้งอาจทำให้มีความรู้สึกว่า ทำไมใช้ชีวิตให้มีความสุขนี้มันยากจัง

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เมื่อเห็นเพื่อนไปเที่ยว ก็อิจฉา เมื่อเราเห็นเพื่อนมีแฟน ก็อิจฉา เมื่อเห็นเพื่อนแต่งงาน ก็อิจฉา เมื่อเห็นเพื่อนมีลูก ก็อิจฉา ไม่ได้ว่าใครก็ว่าตัวเองนี่แหละ เพราะเราเคยคิดมาหมดแล้ว 555

โซเชียลมีเดียนี่แหละ เราว่าเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เราใช้ชีวิตยากขึ้น เพราะเมื่อเห็นคนอื่นชีวิตดี ก็มัวแต่อิจฉา มัวแต่เปรียบเทียบกับคนอื่น จนเราเองไม่ได้ใช้ชีวิตที่เป็นของเราจริงๆ

หนังสือเล่มนี้จะทำให้เรากลับมาฉุกคิดชีวิตกันใหม่ จะได้รู้และเข้าใจตัวเองมากขึ้น เลือกทางเดินให้ชีวิตที่เป็นของเรามากขึ้น ผ่านการเรียนรู้ในเรื่องเศรษฐศาตร์ พฤติกรรม จิตวิทยา และความสุข

เช่น จากงานวิจัยบอกว่า กราฟความสุขของคนที่กำลังจะแต่งงานจะเพิ่มสูงมากกว่าปกติ จนพีคสุดในช่วงวันแต่งงาน จากนั้นผ่านไป 1-2 ปี ความสุขจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จนถึงระดับปกติทั่วไป … ตรงนี้จึงทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่า (เนื่องจากยังไม่เคยแต่งงาน) คนที่กำลังจะแต่งงาน และเพิ่งแต่งได้ไม่นาน จะมีความสุขมากๆๆๆ เราซึ่งได้แต่ดูรูปในเฟสฯ จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกว่า อะไรๆ ก็สีชมพูหวานแหววน่าอิจฉาไปหมด แต่ให้พึงระลึกไว้ว่า ความสุขนั้นอยู่ได้ไม่นานก็จะกลับมาอยู่ในเลเวลเดิมนั้นแหละ ฉะนั้นเวลาเพื่อนแต่งงานก็อย่าได้รู้สึกอิจฉา รู้สึกอยากแต่งงานบ้างเลย เพราะความสุขนั้นมันอยู่เพียงชั่ววูบ!! 555 (ปลอบใจตัวเอง) 

กล่าวโดยสรุปว่า หากเรารู้เท่าทันพฤติกรรมความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรู้และเข้าใจตัวเอง เป็นโจทย์แรกที่กำหนดความสุขในชีวิตของเราเอง …

เมื่อเรารู้จักตัวเอง รู้ว่าชีวิตที่เหมาะกับเราเป็นแบบไหน เป้าหมายของชีวิตเราเป็นอย่างไร จุดอ่อนจุดแข็งของเราเป็นอย่างไร ชอบไม่ชอบอะไร เลิกเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่น

เมื่อนั้นเราก็จะค้นพบความสุขที่จริงแท้ และยั่งยืน 🙂

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีความหมาย โดย นิ้วกลม

ก่อนอื่นต้องบอกว่า เข้าสู่วงการหนังสือก็นิ้วกลมนี่ล่ะค่ะ การได้ติดตามอ่านตั้งแต่สมัยแรกๆ ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลง หลังๆ นี้พี่เค้ามีลีลาการเขียนที่ลุ่มลึก ต้องใช้เวลากันเยอะๆ ค่อยๆ ย่อยทีละบรรทัด บางครั้งอาจมีที่ไม่เข้าใจบ้าง ต้องกลับมาอ่านซ้ำๆ จนกว่าจะเข้าใจ

การอ่านหนังสือของพี่เค้าทำให้เราโตขึ้น เรารู้สึกว่าอย่างนั้นนะ

เล่มนี้เป็นงานเขียนที่พี่เค้ารวบรวมจาก ความคิด ที่ตกผลึกในแต่ละช่วงของเวลาและเหตุการณ์ในชีวิต มีทั้งเรื่องเกี่ยวกับความรัก การพลัดพราก การทำงาน การใช้ชีวิต มากมายแล้วแต่ว่าช่วงนั้นของพี่เค้าได้เจออะไร และตกผลึกอะไรบ้าง

ส่วนตัวชอบความคิดที่ว่า …เมื่อเราลุกขึ้นมา รับผิดชอบ ‘ชีวิต’ เป็นฝ่ายกระทำต่อ ‘ชีวิต’ เมื่อนั้นเราจะเป็นอิสระ จากการถูกกำหนดชะตาชีวิต

แนวความคิด คำสอนต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราก็รู้ดีนะ แต่ทำไมพอเจอเข้ากับเหตุการณ์จริง เรากลับพ่ายแพ้ต่อสิ่งยั่วยุ ตัดสินใจโดยใช้อารมณ์ ติดอยู่กับความอิจฉา ริษยา ความไม่พอใจในชีวิต ต่างๆ นานา เปรียบเทียบกับคนอื่น จนตัวเราเป็นทุกข์

…เราว่าเป็นเพราะเรายังฝึกจิตใจให้แกร่ง ฝึกให้พึงระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ได้ไม่ดีพอ ใจลอยไปที่อื่น คิดถึงแต่จะเปรียบเทียบกับคนอื่น กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิด ซ้ำๆ ซ้ำๆ หรือที่เค้าเรียกว่า ไม่อยู่กับปัจจุบัน นั่นแหละ

เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีสติ นึกถึง ‘ชีวิต’ อันประกอบด้วยร่างกายและจิตใจของเรา แล้วรับผิดชอบในความมีชีวิตของเรา ดูแลเค้าให้ดีๆ อยากได้อะไรก็ทำ อยากเป็นอะไรก็ลงมือทำ เมื่อนั้นแหละที่ชีวิตของเราจะเป็นอิสระต่อทุกสิ่ง โดยเฉพาะความคิดเปรียบเทียบ น้อยใจโชคชะตา เพราะเรารู้ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ก็ด้วยตัวเราเอง

หนังสือของนิ้วกลมจึงเหมือนเพื่อน เหมือนพ่อแม่ เหมือนคนรัก หรือคุณหมอ ที่คอยมาให้คำแนะนำปลอบประโลมชีวิตในวันที่มีทุกข์ ให้กำลังใจในวันที่เหนื่อยหน่าย และเติมไฟในวันที่อ่อนแรง เพราะจะว่าไป คนเราบางวันก็คิดไม่ได้หรอกค่ะ บางวันมันเศร้าจริงๆ บางวันมันเหนื่อยจริงๆ ก็ต้องรับเอาสารดีๆ ความคิดดีๆ เข้ามาในใจบ้าง จะได้ผ่านช่วงเวลานี้ไปอย่างมีสติ ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่คิดร้ายกับตนเองและผู้อื่นไปเสียก่อนเนอะ

แนะนำให้อ่านกันนะจ้ะ 🙂

Zero to One : Notes on Startups, or How to Build the Future by Peter Thiel

ซื้อเล่มนี้มาเพราะได้รับการแนะนำมาจากคุณรวิศคนเดิม แต่ดองไว้หัวเตียงนานมากจนกระดาษเปลี่ยนสี 55 รอบนี้ได้หยิบมาอ่านเพราะไปลงโพสร่วมท้าอ่านหนังสือประจำเดือนสิงหาคม ในเพจ อจ.นพดล เพราะแกบอกว่า ให้เลือกเล่มที่เราดองไว้นานแล้ว จริงๆ ก็เลือกยากอยู่นะ เพราะทุกเล่มก็ล้วนดองไว้ทั้งนั้น 55

Zero to One เป็นหนังสือเกี่ยวกับการกลั่นประสบการณ์เกี่ยวกับการทำสตาร์ทอัพของคุณ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และ Palantir เค้ายังเกี่ยวข้องกับวงการสตาร์ทอัพมากหน้าหลายตา หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การก่อตั้งโครงการต่างๆ เรียกว่าเป็นผู้คร่ำหวอดเรื่องสตาร์ทอัพอเมริกาก็ว่าได้ เป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกับ Elon Musk อีกต่างหาก เป็นนักธุรกิจ นักลงทุน ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

หลังสือเล่มนี้ไม่ได้มีสูตรสำเร็จแบบที่ใครๆ ชอบทำ เช่น 5 วิธีเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทำธุรกิจนี้ให้รวยต้องทำไง บลาๆ เพราะโลกปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน ถึงแม้จะทำตามคนที่ประสบความสำเร็จแล้วอย่าง Mark Zuckerberg ก็คงไม่ได้ผลลัพธ์เท่าเค้า เพราะบริบทมันเปลี่ยนไปแล้ว

ในทางกลับกัน ผู้เขียนได้แนะนำวิธีคิด วิธีปฏิบัติ ที่สามารถนำไปคิดต่อและปรับใช้กับการทำธุรกิจของเราหรือแม้แต่การลงทุนของเรา ผ่านประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ให้สามารถก้าวทันโลก ประสบความสำเร็จได้ในวันที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ความรู้เรื่องธุรกิจดั้งเดิมของเราเริ่มล้าหลังลงเรื่อยๆ

หนังสือเล่มนี้จะมาลับคมให้แนวคิดและกลยุทธ์การทำธุรกิจของเราเฉียบคมขึ้น ตรงเป้าหมายขึ้น มีแนวคิดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย อ่านแล้วตื่นเต้นดีค่ะ เป็นหนังสือแนะนำสำหรับผู้ประกอบการและคนทำสตาร์ทอัพทุกคนเลย

O Great One! by David Novak

IMG_5124.jpg

นานแล้วที่ไม่ได้แตะหนังสือภาษาอังกฤษ เพราะหยุดไปนานมันก็เลยขี้เกียจอ่าน พอกลับมาอ่าน ก็ดันไปเลือกเล่มยากอีก กองไว้หัวเตียงหลายเล่มเลยค่ะ กลับมาตั้งเป้าอ่านหนังสือสัปดาห์ละเล่มรอบนี้ ก็เลยต้องฮึดสู้กันหน่อย ขอเริ่มต้นด้วยเล่มนี้เพราะคิดว่าอ่านไม่ยาก และก็เป็นจริงดังว่า นี่คือหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกในรอบ 1 ปี ที่อ่านจบค่ะ ดีใจจัง แฮ

O Great One! เป็นเรื่องเล่าเชิงธุรกิจโดย David Novak cofounder ของ YUM! และเป็นเจ้าของหนังสือขายดีที่เกี่ยวกับการบริหารคนอีกหลายเล่ม ในเนื้อหาของเล่มนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการให้คุณค่าของพนักงาน ผ่านการจดจำพนักงาน การชื่นชมพนักงาน หรือ Recognition ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นฐานการพัฒนาองค์กร พัฒนาบุคลากร ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เพราะบางครั้งการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ไปในทางที่ดีขึ้นนั้น ไม่ได้อยู่ที่การแสวงหาคนเก่ง มีเงินทุนสูง มีทรัพยากรมากมายให้ใช้ มีกลเม็ดเด็ดพรายในการแข่งขันกับคู่แข่ง หรือกลยุทธ์อะไรอีกมากมายเพียงเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ อาจมีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องเล็กๆ นั่นคือ คำขอบคุณ คำชื่นชมยินดี เพียงคำเดียวก็ได้

Recognition คืออะไร? ทำไมถึงมีความสำคัญต่อองค์กร? 

Recognition ไม่ได้หมายถึงจำชื่อพนักงานได้ แต่หมายถึงการเห็นคุณค่าของสิ่งที่พนักงานทำ ซึ่งสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อองค์กร แล้วเราในฐานะหัวหน้า ก็ให้การยอมรับ ให้การชื่นชม ให้คำขอบคุณต่อพนักงานอย่างจริงใจ โดยอาจให้เป็นรางวัลหรือจัดกิจกรรมสนุกสนาน เพิ่มเติมด้วยก็ได้ แล้วแต่วิธีการที่เหมาะสม

เราคิดว่าไอเดียเรื่องการให้ Recognition ทำให้พนักงานเกิดความภูมิใจ รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ทำให้เค้ารัก ผูกพัน อยากให้กับองค์กรมากขึ้นไปอีก สิ่งเหล่านี้เป็นพลังเล็กๆ ที่เมื่อรวมกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรไปในทางที่ดีได้ แต่ต้องมีหัวหน้าที่เข้าใจเรื่องนี้ และนำมาปรับใช้กับองค์กรอย่างจริงจังด้วย สุดท้ายเมื่อทุกคนให้คุณค่าของ Recognition ก็จะทำให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรใหม่ที่แข็งแรงและยั่งยืน เมื่อต่างคนต่าง appreciate งานซึ่งกันและกัน ต่างคนต่าง contribute ให้กับองค์กร องค์กรก็จะพัฒนาไปได้ไม่หยุดหย่อน 

หนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปรู้จักกับพลังของ Recognition ผ่านการเล่าเรื่องของ Jeff ซีอีโอมือใหม่ ที่ต้องมากู้วิกฤติของบริษัทที่เป็นมรดกสืบทอดจากรุ่นปู่สู่รุ่นพ่อ ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอุปสรรค และความท้าทายไม่รู้จบ ไม่บ่อยนักที่ได้อ่านเรื่องราวธุรกิจผ่านเรื่องเล่าที่สนุกสนาน แทรกความรู้ แทรกทฤษฎีแบบไม่น่าเบื่อแบบนี้ แนะนำเลยสำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีพนักงาน หัวหน้าฝ่าย HR หรือบุคคลที่สนใจ เราว่าได้ความรู้ ได้แนวคิดที่เป็นประโยชน์กลับไปอย่างแน่นอนค่ะ

my space to share what I've read and where I've been :)