การเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการไปเที่ยวเวียดนามครั้งนี้มีที่มาที่ไปนะ เพราะวันนี้เมื่อปีที่แล้ว (ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเมื่อวานเพราะโพสไม่ทัน :P) ดิชั้นและเพื่อนอีกสามคนไปเที่ยวที่นี่ด้วยกันเป็นครั้งแรกค่ะ และไม่น่าเชื่อว่าจากทริปนั้น ทำให้เพื่อนที่รู้จักกันเฉยๆ หรือไม่เคยรู้จักกันมาก่อน กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันได้ดังเช่นทุกวันนี้ 😀
…อันนี้คือเราคิดเองนะ ไม่รู้เค้าคิดแบบเราป่าว?? (ฮาๆ)
ปกติดิชั้นเป็นคนชอบเที่ยวค่ะ แล้วจะชอบมากๆถ้าได้ไปเที่ยวแบบครบรสในราคาประหยัด โอเคไปทัวร์ไม่ต้องพูดถึง ไม่ชอบเลย ชอบไปเอง แพลนเอง พลาดเอง สนุกดีค่ะ 🙂 ดังนั้นถ้าชอบไปเองแล้ว ก็ต้องวางแผนดีมากๆ จะได้อำนวยความสะดวกสบายในการเที่ยว ไม่ไปหลงให้เสียเวลาเที่ยว หรือโดนหลอกให้เสียตังค์ฟรีๆ
แต่ครั้งนี้ยอมรับว่าพลาดไปหน่อย ไม่รู้เพื่อนๆที่ไปด้วยกันทราบหรือเปล่าว่าไปเวียดนามรอบนี้วางแผนไปน้อยมากจริงๆ เพราะหัวหน้าทัวร์อย่างดิชั้นใช้เวลาส่วนใหญ่วางแผนเที่ยวในอินเดียมากกว่าค่ะ เนื่องจากเป็นทริปก่อนหน้าไม่กี่วันและจะไปเป็นครั้งแรก กลัวมาก ผลก็คือวางแผนเที่ยวอินเดียจนลืมเวียดนามไปเลยค่ะ (ฮาๆ) แต่เอาเข้าจริง ทริปนี้แม้จะโดนหลอกแบบเจ็บแสบหรือทรมานร่างกายแบบแสนสาหัส แต่ส่วนตัวชอบทริปนี้มากๆเลย เป็นทริปที่น่าจดจำ เพราะนอกจากจะทำราคาประหยัดได้ตามเป้าแล้ว ได้ลิ้มชิมรสชาติครบรสอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ด้วยแล้ว ยังได้มิตรภาพจากเพื่อนร่วมทริปกลับมาด้วย 😀
อารัมภบทมานานแล้ว เข้าเรื่องกันเลย
เรามีเวลากันแค่ 3 วัน 2 คืน เลยวางแผนบินไปลงที่ฮานอยแต่เช้าตรู่ เดินเที่ยวในเมืองจนเย็นย่ำ จากนั้นค่อยนั่งรถไฟไปซาปาเมืองเล็กๆอยู่ใกล้เขตประเทศจีน อยู่บนเขาสูงค่ะ ตรงนี้ใช้เวลาคืนนึง ถึงแล้วก็ต้องนั่งรถเข้าไปอีกชั่วโมงนึง เค้าเป็นเมืองที่อากาศเย็นมากแล้วก็นาขั้นบันไดสวย ทราบแค่นี้แหละค่ะ ที่นี่เรามีเวลา 2 วันก่อนที่เย็นวันที่สองเราก็ต้องนั่งรถไฟกลับมาฮานอยเพื่อบินกลับต่อเลย ดูจากแผนแล้วคือ มันแน่นและกระชั้นมากค่ะ ถ้ารถไฟเสียเวลานี้คือเสียหายหลายแสนแน่นอน
ความสนุกของทริปเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องค่ะ (ฮาๆ) นึกแล้วขำ เรานัดกันตีห้าครึ่งเพราะเครื่องออกเจ็ดโมงเช้า แต่เพื่อนดิชั้นคนนึงนอกจากนางจะตื่นตีห้าแล้ว นางยังไปผิดสนามบินค่าาาา แต่ด้วยกรรมที่ทำร่วมกันเมื่อชาติปางก่อน คงอยากจะให้เราร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน จึงส่งผลให้นางมาทันพวกเราในเวลาหกโมงครึ่งตอนเครื่อง boarding พอดี กระปงกระเป๋าก็โหลดไม่ทัน ผ่านตม.เข้ามาแบบมีของเหลวเกิน 100มล.ไม่พอ กระเป๋าก็ทั้งใหญ่และหนักมากๆ ปาฎิหาริย์มากอ่ะ พูดเลย 😀
ในที่สุดเราก็มาถึงฮานอยค่ะ 🙂 แต่ก่อนที่เราจะนั่งรถไฟต่อเลยในคืนนั้น ก็ยังมีเวลาหลายๆชั่วโมงในการเที่ยวชมเมืองนี้กัน เราจึงจำเป็นต้องเปิดห้องเพื่อเก็บกระเป๋าและอาบน้ำกันก่อน ความโหดระดับหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อห้องพักอยู่ชั้นสี่ ไม่มีพนักงานช่วยยกกระเป๋า และไม่มีลิฟต์ กระเป๋าแต่ละท่านก็หนักค่ะ เราเลยได้อบอุ่นร่างกายกันก่อนไปเที่ยวเล่นในเมืองกัน 😛
เราเดินกันเพลินๆในเมืองฮานอยค่ะ มีหลายสิ่งให้ดู โดยเฉพาะการบริการริมถนนทั้งหลายเช่น ตัดผม ขัดรองเท้า ไรงี้ หรือได้ไอเดียร้านกาแฟเก๋ๆก็มีอยู่หลายๆที่เหมือนกันนะ แปลกหน่อยไม่เคยเจอคือ เค้านั่งกินชาจีนกับเมล็ดแตงโมช่วง high tea กับเก้าอี้เตี้ยๆ เออแหนะแปลก
แต่มีอย่างนึงไม่อยากให้เพื่อนๆพลาดนั่นคือ การกินขนมพื้นเมืองที่เค้ามาหาบเร่ บริเวณทะเลสาบกลางเมืองค่ะ (ฮาๆ) อันนี้หมายถึงอย่าพลาดไปซื้อเชียวล่ะ คนขายบอก 30,000 ดอง เพื่อนดิชั้นด้วยความที่ยังเบลอๆจากการนอนน้อย ช่วยกัน(ย้ำว่าช่วยกัน) หยิบแบงค์แสนไปให้นางคนขายเป็นจำนวน 300,000 ดองค่ะ! ได้ตังค์แล้วนางรีบเดินเลยค่ะ กว่าเราจะรู้ตัวเพื่อนอีกคนที่ยังมีสติรีบวิ่งไปดักหน้าคนขายคนนั้น แต่อ้อยเข้าปากช้างแล้วสิคะ ทำไงได้ จากโดนัทราคา 50 บาท กลายเป็น 500 บาทไปเลย ฮาๆ 😀 ขอบคุณคุณเพื่อนที่เปิดโอกาสให้เราได้ครบรสกันตั้งแต่วันแรก แต่ยังค่ะ นี่เป็นแค่เริ่มต้น
เย็นวันนั้น เราก็เช็คเอ้าท์กันแล้วก็นั่งแท๊กซี่ไปสถานีรถไฟไปซาปา เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งค่ะ สายตาเราดันเหลือบไปเห็นนางโดนัทคนเดิมเดินเอ้อระเหยอยู่ เพื่อนดิชั้นแทบจะพุ่งตัวไปหาด้วยความแค้น อะไรจะฮาได้ขนาดนี้ (ฮาๆ) ในที่สุดเราก็ขึ้นรถไฟค่ะ รถไฟที่เราไปกันนี้ใช้เวลาหนึ่งคืน ภายในสะดวกสบายแบ่งเป็นห้อง ห้องละ 4 เตียง บนล่าง ขอบอกว่าราคาแพงกว่าตั๋วเครื่องบิน กรุงเทพ-ฮานอย อีกอ่ะ (ฮาๆ)
เราไปถึงเมืองลาวไก ตอน 5.30 เช้าตรู่ ซึ่งเราต้องต่อรถอีกรอบนึงเพื่อไปซาปา ขอบอกว่าตรงนี้ดิชั้นโดนหลอกซื้อตั๋วรถบัสแพงมากๆ รู้งี้ซื้อพร้อมแพ็คเกจของโรงแรมไปก็สิ้นเรื่อง แต่เราไม่บอกลูกทัวร์ค่ะ เดี๋ยวเสียเครดิต (อิอิ) เราเลยได้ความรู้มาว่า ถ้าได้จองล่วงหน้าหรือโรงแรมเสนออะไรมา ก็ควรรับไว้พิจารณาค่ะ เพราะมาหาเอาดาบหน้าแพงกว่าเห็นๆ 😦 เราใช้เวลาคดเคี้ยวอยู่ร่วมชั่วโมงก็มาถึงซาปาเมืองในหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยก้อนเมฆ บ้านเมืองเล็กๆเดินถึงกัน แต่อาจเหนื่อยหน่อยเพราะเป็นทางชันซะเยอะ เราใช้เวลาวันนั้นเดินเที่ยวไปนู่นนี่ กินของพื้นเมืองบ้าง สนุกดี ส่วนโรงแรมเราคือดีมากค่ะ วิวสวยมากเห็นทั้งเมืองเลย พนักงานน่ารักมากๆ แต่อากาศเย็นเหลือเกิน
กิจกรรมในเมืองนี้ที่ได้ยินคือการขี่มอเตอร์ไซค์ไปดูน้ำตกแล้งๆและนาขั้นบันไดค่ะ เลยรู้สึกว่าไม่เอาอ่ะ ไม่เริ่ด พอดีทางโรงแรมเสนอการเดินชมหมู่บ้านชาวเขามา เอ๊ะอะไรอ่ะ ไม่เคยได้ยิน (เพราะไม่ได้เตรียมตัวหาข้อมูลตั้งแต่แรก เหอๆ) เลยตัดสินใจเงียบๆคนเดียวว่าพรุ่งนี้จะพาเพื่อนๆไปนี่แหละ ไม่ทันคิดเค้าใช้คำว่า trekking ไม่ใช่แค่ walking นะหนู 😦
เช้าวันถัดมา เราออกเดินทางไปกับนักท่องเที่ยวอีกจำนวนหนึ่ง รถขับออกไปนอกเมืองแล้วจอดที่สันเขา จากนั้นให้เราเดินเท้าลงไป ณ หมู่บ้านชาวเขาด้านล่าง โอ้โหรู้สึกดีค่ะ อากาศดี แดดดี ธรรมชาติดี ภูเขาสวยมากๆ แม่น้ำก็สีฟ้าใส ขณะที่อยู่ตรงนั้น สองข้างของดิชั้นเป็นภูเขาสูงชัน ด้านนึงเป็นด้านที่เราเดินลงมา อีกด้านนึงก็เห็นทางเดินชันขึ้นไป คิดในใจว่า….คงไม่ให้เราเดินขึ้นเขาไปใช่มั้ย?
ด้วยความที่ไม่ทราบเลยว่ากิจกรรมจะเป็นแบบไหน ทุกคนจึงแต่งตัวจัดเต็มค่ะ เพราะนึกว่าวันสุดท้ายจะชิว (ฮาๆ) ความคิดของดิชั้นเริ่มเป็นจริงเมื่อไกด์พาเราเดินขึ้นเขาอีกลูก ด้านที่ตรงข้ามกับขามา ไม่โอเคค่ะ เหนื่อยค่ะ การเดินครั้งนี้เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด นานทีเดียวจนเราก็มาถึงโรงเรียนแห่งนึงและพักกินข้าวกัน โค้ทที่ใส่มาถอดไปนานแล้วค่ะเพราะร้อนมากๆ เหงื่อหยดกันเลยค่ะ ตอนนั้นคิดว่าจบแล้วใช่มั้ย คงไม่ต้องเดินแล้วมั้ง แต่ที่ไหนได้ค่ะ ก่อนหน้านี้คือน้ำจิ้ม!! แล้วเราก็เดินกันต่อ… ภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เดินขึ้นเดินลง เข้าป่าเข้านา ที่พีคมากๆคือตอนเดินบนสันนา ซึ่งเป็นทางที่ยังไม่มีรอยคนเดินมีแต่น้ำไหลผ่าน มองด้วยตาคือเสี่ยงลื่นตกโคลนแน่ๆ …..ตู้มม…ฝรั่งลื่นตกไปครึ่งตัวค่ะ แม่เจ้าตื่นเต้นมากจริงๆ เพื่อนดิชั้นหน้าถอดสีเลยค่ะโดยเฉพาะเพื่อนที่พาเฟอร์ฯและ Hermes มาสองใบ (ฮาๆ)
เราก็เดินกันต่อไปจนไกด์ชี้ตึกเหลืองๆที่อยู่อีกฟากนึงของภูเขา บอกว่าเดี๋ยวรถจะมารับที่นั่น โอ๊ะ แทบอยากจะบินไปเลยย..สุดท้ายเราก็สามารถพาตัวเองไปถึงจุดหมายจนได้ด้วยสภาพอิดโรย เหนื่อยจริงๆ รองเท้าเลอะโคลนรุงรัง 😦 กลับมาคำนวนพบว่า เราเดินไป 5 ชั่วโมง 12 กิโลเมตร ดีใจที่อย่างน้อยเราก็สามารถทำได้สำเร็จ เย่!
เรื่องตลกอีกเรื่องคือเย็นวันนั้นเราต้องไปขึ้นรถไฟกลับฮานอยเลย ทุกคนหลับเป็นตายไม่ทันรู้ตัวว่ารถไฟถึงฮานอยแล้ว ที่สำคัญคือทุกคนลงรถไฟกันอย่างเร็ว ทิ้งกลุ่มเราไว้เป็นห้องสุดท้ายที่ยังตื่นมาแบบงงๆ ตอนเดินลากกระเป๋าออกจากชานชาลายังเบลอๆอยู่เลย นึกว่าฝันไป ฮาๆ 😀 เช้าวันนั้น เราก็บินกลับกรุงเทพกันเลยอย่างมีความสุข ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม แม้หน้าตาจะดูอ่อนล้าจากการใช้ร่างกายอย่างหนักไปบ้างก็ตาม (ฮาๆ)
ทริปนี้แม้จะโดนหลอกแล้วหลอกอีก โดนขึ้นเขาลงห้วยแค่ไหนแต่เราก็เฮฮากันตลอดทาง สนุกดีค่ะ ปกติไม่ค่อยไปเที่ยวเป็นหมู่คณะ แต่มารอบนี้รู้สึกประทับใจค่ะ ให้กลับไปที่เดิมคงไม่ไป แต่ให้ไปที่ใหม่กับเพื่อนกลุ่มเดิม อันนี้loveเลย อิอิ 😀