Tag Archives: Italy

Italy มีหนี้ก็เที่ยวได้

italia-06
Colosseum สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

การไปเยือนอิตาลีในช่วงปลายร้อนต้นหนาวเดือนกันยายนปีที่ผ่านมานั้น สร้างปรากฎการณ์กระแสตอบรับในหมู่เพื่อนฝูงของข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดี ตอกย้ำภาพจำว่าเราเป็นคนรวยมาก ยิ่งไปช่วงที่คุณแพร วทานิกา ไปช้อปปิ้งที่มิลานด้วยแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ค่ะ จะสลัดภาพไฮโซมีตังก็ลำบาก 😅 ได้แต่ยอมรับโดยดุษดีว่าก็มีพอประมาณ 555 😂 แต่ลึกๆ ในใจเรารู้ดีว่าการทำตัวหรู เที่ยวดี วิวดี ประเทศปัง แบบอิตาลี ก็มิได้ไกลเกินเอื้อมคนธรรมดาๆ ที่มีหนี้บานเบอะอย่างข้าพเจ้าได้ 555

ตอนนี้ได้แต่คิดเล่นๆ ว่า ค่าทริปทั้งหมดที่จ่ายพร้อมช้อปปิ้งตลอดสองอาทิตย์นี้ จะได้สักครึ่งนึงของค่าตั๋วของคุณแพรหรือเปล่า อันนี้มีแต่คุณแพรเท่านั้นที่รู้ 55

ปล. การไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้สนับสนุนให้คุณเป็นหนี้ แต่อยากให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ใช้จ่ายอย่างพอประมาณ สร้างสรรค์ ไม่เดือดร้อนตัวเองและผู้อื่นค่ะ 😅

italia3-17
เข้าปลายหน้าร้อน โรมอากาศดีฝุดๆ

ทริปนี้เกิดขึ้นจากการชวนของเพื่อนรุ่นพี่แบบเบาๆ คือ พี่เค้าชวนแบบพอประมาณตามมารยาท แต่เราดันคิดจริงจัง เหตุเพราะพี่เค้าจะไปเยี่ยมญาติที่นู่น นั่นหมายถึงการประหยัดค่าที่พักไปส่วนนึง 😅 นอกจากเหตุผลความงกนี้แล้ว เรายังได้ท่องเที่ยวประเทศในฝันแบบคนท้องถิ่น กินอาหารแบบคนท้องถิ่น อยู่แบบคนท้องถิ่น แบบนี้ตัดสินใจไม่ยากเลยค่ะ

italia3-03
แวบเข้ามาดูด้านในวิหาร Chiesa di San Pietro in Montorio แสงส่องเข้ามาพอดี งดงาม

เรามีเวลา 13 วันเต็มในการเปิดโลกทัศน์ เวลาเยอะขนาดนี้ เริ่มเกิดความงกอยากไปนู่นนี่เต็มไปหมด ในใจก็คิดว่า แค่อิตาลีที่เดียวจะเบื่อมั้ยนะ จะมีอะไรบ้างนะ แต่พอเริ่มวางแผนเที่ยวจริงจังเท่านั้นแหละ จึงพบว่า คงต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะเก็บหมด อิตาลีเป็นประเทศที่ไม่ได้มีหอเอนปิซ่า เวนิส กรุงโรมอันเก่าแก่ หรือประเทศที่เล็กที่สุดในโลกอย่างวาติกัน แต่ยังมีแถบชนบทกลางประเทศที่สวยงามปานภาพวาดที่เรียกว่า Toscana ไปแถบชายฝั่งทะเลสีฟ้าสดสลับกับตึกสีสันสดใสสุดโรแมนติก อย่าง Cinque Terra เมืองตากอากาศริมทะเลบรรยากาศดีที่ Amalfi Coast เที่ยวสไตล์ไฮโซบนเกาะสวรรค์อย่าง Capri หรือ Sicily หรือจะล่องเรือในทะเลสาบสีฟ้าใส ละแวกเทือกเขาแอลป์อย่าง Lake Como เปลี่ยนแนวไปเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์แบบ Pompei แล้วแวะทานพิซซ่าที่ Naples หากยังไม่จุใจขอไปช้อปปิ้งต่อที่เมืองแฟชั่นระดับโลกอย่าง Milan … 

italia3-10
San Luigi dei Francesi โบสถ์นี้สีทองอร่าม สะกดตา

เรียกว่า ยิ่งหาข้อมูลก็ยิ่งเครียดค่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนดี เวลาที่มีเริ่มไม่พอ 😅 สุดท้ายจึงมาจบที่…

Day 1 : Rome ญาติมารับที่สนามบิน พาไปเดินชมเมืองเล็กน้อย
Day 2 : Rome หลังจากพักผ่อนเพียงพอแล้ว ญาติพาไป Spanish Steps, Trevi Fountain, Pantheon และอื่นๆ มากมายที่เดินได้ในเมือง
Day 3 : Rome วันนี้ญาติพาไป Colosseum และ Roman Forum
Day 4 : Naples หรือนาโปลี ออกจากโรมไปกินพิซซ่าถึงต้นกำเนิด ไปเที่ยวปอมเปอี แล้วกลับโรม
Day 5 : Florence ลาญาติ นั่งรถไฟเที่ยวเองไปที่เมืองศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรมเรเนซองส์
Day 6 : Bologna แวบไปเจอเพื่อนที่นี่ อาหารอร่อยเมืองสวยมาก แล้วกลับมาพักที่ฟลอเรนซ์เช่นเดิม
Day 7 : Pisa นั่งรถไฟวิ่งไปดู Leaning Tower of Pisa ในหนึ่งชั่วโมง แล้วจับรถไฟต่อไป La Spezia เพื่อเที่ยวใน Cinque Terra ทั้ง 5 เมืองจนแล้วเสร็จ
Day 8 : อยู่ที่ La Spezia ครึ่งวันเดินเล่น เพราะเที่ยว Cinque Terra หมดแล้วไม่มีอะไรทำ ตกเย็นนั่งรถไฟไป Asti
Day 9 : ใช้เวลากับญาติอีกท่านที่ Asti เมืองนี้มีแต่ไร่องุ่น
Day 10 : Milan จับรถไฟแต่เช้าเที่ยวเมืองแฟชั่นเพียงครึ่งวัน แล้วไปพักที่ Verona
Day 11 : Verona เมืองเล็กๆ ต้นกำเนิด Romeo & Juliet ชอบจัง เดินเที่ยวเมืองพอดีๆ คนไม่เยอะ น่ารัก
Day 12 : Venice จับรถไฟแต่เช้าเข้าเมือง วันนี้แวบนั่งเรือไป Murano และ Burano ก่อนเข้ามาที่เวนิซ
Day 13 : เที่ยวใน Venice เมืองที่ใครๆ ก็อยากมา แต่ถ้าได้มาแล้วก็จะไม่อยากมาอีก 555 (คหสต)
Day 13 : จับรถไฟแต่เช้าเข้า Rome ถึงเย็นแล้วญาติรับไปเที่ยว Vatican City
Day 14 : กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

italia3-16
Fontana dell’Acqua Paola น้ำพุสาธารณะ สร้างด้วยหินอ่อน ด้านหลังเป็นวิวโรม สวยมาก

ROME

แสงแดดช่วงบ่ายต้อนรับเราอย่างอบอุ่น พร้อมกับคนแปลกหน้าชาวอิตาลีสองคน ที่อีกไม่ช้าก็จะกลายเป็นคนรู้จักเสมือนญาติคนหนึ่ง คุณป้าอายุ 75 ที่ยังดูแข็งแรงมาก มากับลูกของแกที่มีคาแรคเตอร์สุดๆ ทักทายเราอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะพาเราไปชมเมืองแบบเบาๆ เริ่มต้นที่ Parco del Gianicolo เนินเขาใจกลางเมืองที่ทำให้เราเห็น Vatican และ Rome ได้สุดลูกหูลูกตาในวันที่แสงแดดจ้าเช่นนี้ จากนั้นก็พาเราไปเดินเล่นบนเกาะกลางแม่น้ำ Tiber เดินชมโบสถ์ชมเมือง กินไอติม Gelato ร้านดัง แล้วไม่พอก็แวะไปที่ Knights of Malta Keyhole ที่นี่คือสถานทูตประเทศ Malta ซึ่งผู้คนจะต่อคิวเพื่อมองลอดช่องกุญแจของสถานทูต ภาพที่เห็นคือยอดอาคารของ St. Peter’s Basilica อันเป็นสัญลักษณ์ของนครวาติกัน อยู่ในตำแหน่งที่สมมาตรกับรั้วต้นไม้ในสถานทูต ดูงดงามยิ่งนัก

italia3-14
อาคารบ้านเรือน สี ดีไซน์ อย่างสวย

เราขับออกชานเมืองเล็กน้อยเพื่อไปยังที่พักติดริมเขา บ้านของคุณป้าเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์จัดแสดงงานศิลปะที่ยังมีชีวิต เพราะแกเป็นคนสร้างและสะสมงานศิลปะทุกรูปแบบ ทุกห้องทุกรายละเอียดการตกแต่งทุกอย่าง จะมีศิลปะแบบที่แกชอบและงานของแกเองแทรกอยู่เสมอ แต่มุมที่เราชอบที่สุดคือระเบียงด้านนอก มองเห็นเพียงหุบเขาปิดกั้นความวุ่นวายในเมือง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนสักแห่งที่สงบ สบาย ผ่อนคลาย อากาศเริ่มเย็นขึ้น เรานั่งจิบเบียร์ได้บรรยากาศสุดๆ 

Untitled-1-15

เช้าวันใหม่ เรามาเดินเล่นในเมืองกันค่ะ คุณป้าพาเราเริ่มต้นจาก Museo dell’Ara Pacis พิพิธภัณฑ์จัดแสดงศิลปะโรมันที่ล้อมด้วยกระจก คนด้านนอกมองเห็นได้ ไอเดียเจ๋งดีนะ จากนั้นจึงเดินลัดเลาะไปตามถนน Shopping ผ่านโบสถ์สวยงามมากมายถ่ายรูปกันไม่ทัน จนไปถึง Piazza del Popolo ลานจตุรัสขนาดใหญ่ที่มีแท่งเสาหินโอเบลิสก์ (Obelisk) จากอียิปต์อายุเก่าแก่ที่สุดตั้งอยู่ แล้วต่อด้วย Piazza di Spagna ลานกว้างที่มีบันไดลดหลั่นตามลำดับสวยงาม เต็มไปด้วยฝูงชน เรียกว่า Spanish Steps มีฉากหลังเป็น Church of Trinità dei Monti สวยดีค่ะ ใกล้กันนั้นคือ Fontana di Trevi (Trevi Fountain) น้ำพุขนาดใหญ่สไตล์บาร็อกที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งนึง คนเยอะมากไม่แพ้กัน ถ้ามีเด็กกรุณาอย่าละสายตาเพราะอาจหลัดหลงได้เลย เราพักทานข้าวเที่ยงกันที่คาเฟ่แถบนั้นได้บรรยากาศอิตาเลียนไฮคลาส ไม่ต้องพูดถึงเมนูภาษาต่างถิ่นที่อ่านไม่ออกแต่สั่งๆ ไปให้ดูว่าสั่งเป็น แสร้งว่าเป็นผู้มีอันจะกินดื่มดำบรรยากาศและรสชาติอย่างสุนทรีย์ เพราะเรามากับคนอิตาเลียนแท้ๆ ค่ะ หากมาเองจ่ายตังเอง คงไม่อาจหาญทำการเช่นนี้ 555 😅

italia-01
Fontana di Trevi น้ำพุเทรวี ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์และความใหญ่โต

สถานที่ต่อไปคือที่ที่เราอยากเห็นด้วยตาตัวเองมาก นั่นคือ Pantheon สิ่งก่อสร้างยุคโรมันเก่าแก่อายุเกือบ 2000 ปีที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เมื่อก่อนคือวัดสำหรับชาวโรมัน (Roman Temple) แต่ตอนนี้คือโบสถ์ที่ยังใช้ประกอบพิธีอยู่ ความยิ่งใหญ่และความสามารถในด้านสถาปัตยกรรมคือความงดงามที่น่ามหัศจรรย์ ยากที่จะละสายตา เรายืนมองอยู่นานมาก ในใจคิดว่า นี่ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างสำหรับมนุษย์แต่เป็นพระเจ้าต่างหาก เพราะมันดูยิ่งใหญ่และอลังการเกินกว่าจะสร้างให้มนุษย์ได้ใช้ 

italia-05
Pantheon ใหญ่โต อลังการสุดๆ ชอบมาก

หลังจากนั้นคุณป้าพาเราไปที่ Piazza Navona ลานกว้างที่มี Fontana dei Quattro Fiumi (Fountain of the Four River) น้ำพุขนาดใหญ่ออกแบบให้มีเทพเจ้าสี่องค์ดูแลน้ำสี่สายจากสี่ทวีปหลัก นั่นคือแม่น้ำไนล์หมายถึงทวีปแอฟริกา แม่น้ำคงคาหมายถึงทวีปเอเชีย แม่น้ำดานูบหมายถึงทวีปยุโรป และแม่น้ำรีโอเดลาพลาตา หมายถึงทวีปอเมริกา ก่อนกลับบ้านเราผ่าน Castel Sant’ Angelo ถูกสร้างเพื่อเป็นหลุมฝังศพของจักรพรรดิโรมันเฮเดรียน หลังจากนั้นก็ถูกใช้ประโยชน์มากมาย เคยเป็นป้อมปราการและที่หลบหนีสำหรับพระสันตะปาปา ทั้งยังมีเส้นทางลับที่ต่อมาจาก St. Peter’s Bacilica ของวาติกันอีกด้วย สมัยนั้นน่าจะตื่นเต้นดีนะคะ

italia3-07
Piazza Navona ลานกว้างที่มี Fontana dei Quattro Fiumi น้ำพุที่โด่งดังอีกจุด

จบวันกันด้วยมื้อเย็นที่คุณป้าโชว์ฝีมือทำอาหารอิตาเลียนดั้งเดิมตั้งเต็มโต๊ะ จริงๆคือ แกทำให้เราทานทุกวันค่ะ คุณพี่ที่ไปด้วยกันบอกว่า ตามธรรมเนียมแล้วเจ้าบ้านจะทำอาหารให้แขกทานเป็นจำนวนมากและแขกก็ควรทานให้หมดเพื่อเป็นการขอบคุณและเป็นการให้เกียรติเจ้าบ้าน คุณพี่ซึ่งไม่ถนัดอาหารเลี่ยนๆ จึงขอยกหน้าที่นี้ให้คุณน้อง คุณน้องซึ่งโปรดปรานอาหารอิตาเลี่ยนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ได้แต่ยิ้มกระหยิ่มใจ 55

italia3-02
4 cheeses dinner ที่บ้านคุณป้า หนึ่งในนั้นคือ มอสซาเรลล่าชีสชื่อดังจากแคว้นแคมปาเนีย

เช้าวันถัดมาเรายังอยูในโรมค่ะ เมืองนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ สามวัน ถึงจะเที่ยวให้ทั่ว ส่วนกำหนดการของวันนี้คือการไปเยี่ยมชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลก นั่นคือ Colosseum และ Roman Forum ที่อยู่ติดกัน แต่การเยี่ยมชมไม่ได้ทำกันง่ายๆ เพราะต้องรอต่อคิวยาวเหยียด ญาติที่ใจดีมากๆของเราเลยซื้อทัวร์แบบ group private เพื่อให้ได้เข้าคิวพิเศษ รอแป๊บเดียว อันนี้แนะนำนะคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลายืนรอตากแดดเป็นชั่วโมง โคลอสเซียมเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น ความยิ่งใหญ่ของมันทำให้เราจินตนาการความรุ่งโรจน์ของโรมได้ไม่ยาก ยิ่งเมื่อได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศภายในก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิม นึกถึงบรรยากาศในหนังเรื่อง Gladiator ตอนที่ทุกคนกำลังเพ่งสายตาไปที่การประลองยุทธ เสียงโห่ร้อง ความป่าเถื่อน หลายอย่างเหล่านี้ทำให้เราหลงเข้าไปอยู่ในห้วงอดีตสักระยะหนึ่ง จากนั้นเราเดินตามกรุ๊ปทัวร์ของเราไปฝั่งโรมันฟอรั่ม นั่นคือบริเวณที่เคยเป็นศูนย์กลางเมืองโรมัน ประกอบไปด้วยซากตึก เสา ประตู อาคาร ทางเดิน ห้องหับน้อยใหญ่ ตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กันกับความอลังการงานสร้างของชาวโรมันกว่าสองพันปีที่แล้ว

italia-08
ด้านในโคลอสเซียม

ระหว่างที่ไกด์พาดูร่องรอยของสถานที่ต่างๆ ทำให้ทราบว่า นอกจากที่นี่จะเป็นต้นกำเนิดของสปาและห้างที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแล้ว เรายังต้องประหลาดใจบวกกับความตื่นเต้นในใจว่า แท้จริงแล้ว ชาวโรมันมีคุณูปการต่อโลกยุคปัจจุบันเพียงใด เราได้รับอิทธิพลด้านวิศวกรรมอย่างมากมายจากชาวโรมัน เช่น การก่อสร้างอาคารแบบโรมัน สเตเดียม การสร้างถนน สะพาน อุโมงค์ คิดค้นระบบน้ำเสีย ท่อน้ำ น้ำพุ สระน้ำ และการใช้คอนกรีตเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของอาคาร ในด้านสังคมและวัฒนธรรม เช่น การศึกษา การมีโรงเรียน ห้องสมุด สถานพยาบาล ระบบการศาล การปกครอง ระบบการสื่อสารโดยใช้จดหมาย และภาษาอังกฤษ เป็นต้น 

italia-09
Arch of Titus ประตูชัยแห่งติตุส หนึ่งสิ่งก่อสร้างในโรมันฟอรัมที่ยังหลงเหลืออยู่

จบวิชาประวัติศาสตร์กันแล้ว เราขอไปดู Campidoglio เป็นพื้นที่จัตุรัสบนเนินเขาอันสวยงามออกแบบโดย Michelangelo มองเห็น Roman Forum ที่เดินผ่านมา ยอมรับว่าความเหนื่อยล้าจากแดดเผาและขาลาก ทำให้เห็นความงามลดลง 555 สิ่งที่ตื่นเต้นกว่าคือโบสถ์ข้างๆ มีงานแต่งงานพอดีค่ะ ดูโรแมนติก อบอุ่น มินิมอล เหมือนในหนังฝรั่ง เจ้าบ่าวมากับรถโบราณเก๋ๆเท่ไปอีก แต่ที่จำได้แม่นคือบาทหลวงหน้าตาดีมากจริงๆ 555 ถัดจากนั้นเราไปที่ Altare della Patria นี่คืออาคารหินอ่อนขนาดยักษ์สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงกษัตริย์และทหารในสงครามโลก ตึกใหญ่โตโอ่อ่าดีค่ะ ขึ้นไปเห็นวิวดี แต่ญาติบอกว่าเค้าไม่ชอบเอาซะเลย รวมถึงคนท้องถิ่นด้วย เพราะสถาปัตยกรรมนี้เหมือนผุดขึ้นมาท่ามกลางความเก่าแก่แบบ Ancient Rome ที่อยู่รอบข้าง บดบังทัศนียภาพไปหมดเพราะตึกใหญ่มาก พอคิดตามก็ว่าจะจริงค่ะ เหมือนที่นี่จะถูกสร้างด้วยเหตุผลทางการเมืองซะมากกว่า เสียดายวิว เสียดายเมืองเก่า เสียดายเงิน เหอๆ บ่นพอแล้ว กลับบ้านไปกินสปาเก็ตตี้ฝีมือคุณป้าดีกว่าค่ะ อร่อยสุดๆ 

Italia2-03
เมืองปอมเปอีใหญ่มาก เดินกันไม่หมด

NAPLES

วันสุดท้ายในโรมเราไม่อยู่โรมค่ะ คุณป้าพาเราไปเมืองเนเปิลส์ใช้เวลาขับรถลงไปทางใต้เพียงสองชั่วโมง ที่นี่มีสองสิ่งที่เราทราบคือ เมืองปอมเปอีและต้นกำเนิดพิซซ่า แต่ก่อนจะถึงที่หมายเราแวะที่ร้านขายชีสและขนมปังเพื่อเตรียมแซนวิชเอาไว้กินตอนเที่ยงกันก่อน คุณป้าบอกว่าร้านนี้มีมอสซาเรลล่าชีสจากแคว้น Campania ที่โด่งดังที่สุดในอิตาลี อารมณ์ว่าถ้ามะขามหวานต้องเพชรบูรณ์  ไข่เค็มต้องไชยา อะไรประมาณนั้น คุณป้าซื้อตุนไปเยอะทีเดียว ซื้อเส้นพาสต้าไปหลากหลายแบบด้วย เพราะแกว่าไม่ได้มาบ่อยๆ จากนั้นไม่นานเราก็มาถึงเมืองตากอากาศของชาวโรมันกันค่ะ ด้านหน้าของเมืองอยู่ไม่ไกลทะเล ด้านหลังคือภูเขาไฟวิสุเวียส ที่นี่ดูเผินๆ ถือว่าชัยภูมิดีทีเดียว ไม่แปลกที่ปอมเปอีจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง มีคนอยู่อาศัยนับหมื่น มีการแบ่งสรรจัดส่วนเมืองอย่างมีระบบ มีวิลล่าหรือบ้านตากอากาศของเศรษฐีที่ยังคงความสวยงามไม่สร่าง รายละเอียดของโมเสกบนพื้น ข้างผนัง ที่ยังคงความประณีตงดงามมาก มีการเดินระบบท่อน้ำสระน้ำ สร้างสปาในบ้านที่น่าทึ่ง มีอารีน่าที่ยังใช้งานได้จริงในปัจจุบัน เพราะมีนักร้องมาใช้แสดงคอนเสิร์ตเมื่อไม่นานมานี้

italia-12
ลวดลายฝาผนังและการตกแต่งแบบโมเสกที่ยังสมบูรณ์ ณ วิลล่าหลังหนึ่งในปอมเปอี

อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและร้ายกาจ ภูเขาไฟวิสุเวียสได้ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ลาวาและควันพิษถาโถมเข้าสู่เมืองแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ถมเมืองและผู้คนด้วยเถ้าธุลีร้อนระอุ เราเดินดูซากความเจริญในอดีตด้วยความรู้สึกที่หลากหลายค่ะ พีคที่สุดคือการได้เห็นร่องรอยของสัตว์เลี้ยง และผู้คนในอิริยาบทสุดท้าย ซึ่งนักโบราณคดีใช้วีธีเทปูนปลาสเตอร์ลงไปในช่องอากาศที่เคยมีเนื้อหนังโครงกระดูกของผู้เคราะห์ร้ายอยู่ เราจึงเห็นรายละเอียดของศพแบบเด่นชัด บางคนนอนกอดกัน บางคนนั่งสวดมนต์อ้อนวอน แอบสยองปนสงสาร บอกไม่ถูกจริงๆ

italia-11
เห็นแต่ในหนังสือ วันนี้ได้เห็นของจริง …

เราเดินเที่ยวจนได้เวลาอาหารเย็น คุณป้าพาเราไปที่ร้าน Olio e Basilico เพื่อทานพิซซ่าแบบต้นตำรับแท้ๆ ตื่นเต้นมากค่ะ ไม่นึกไม่ฝันว่าชาตินี้จะได้มีวาสนาได้ทานพิซซ่าที่เมืองนาโปลี เหมือนเราได้พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสแห่งการกินยังไงยังงั้น พิซซ่าสไตล์ Neapolitan มีความพิเศษคือแป้งจะดูหนานุ่มและใหญ่ เมื่อกัดเข้าไปจะมีความกรอบนอกนุ่มในเหมือนมีฟองน้ำอยู่ในแป้งพิซซ่า ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการทานพิซซ่าทั่วไป ทั้งยังดีต่อสุขภาพเพราะใช้วัตถุดิบแท้ สดและใหม่ ลืมการทานพิซซ่าแบบฟาสฟู้ดไปได้เลยค่ะ เย็นวันนั้นเรากลับบ้านมาด้วยความอิ่มเอมเปรมปรีดา พร้อมเดินทางต่อไปด้วยตัวเองในวันพรุ่งนี้ 

Italia2-02
พิซซ่านาโปลี ต้นตำรับพิซซ่าของแท้ ตอนพิมพ์นี้มีท้องร้อง 555

FLORENCE

เรานั่งรถไฟความเร็วสูงจากโรมมาเพียง 1.5 ชั่วโมง ก็จะถึงศูนย์กลางของยุคเรเนซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เมืองฟลอเรนซ์ เพราะได้ยินจากเพื่อนว่าที่นี่เมืองสวยมากจึงเกิดความคาดหวังมาก แต่ก่อนจะได้ชื่นชมเมืองก็ต้องวุ่นวายกับการนั่งรถบัสเพื่อไปที่พักค่ะ เพราะ หนึ่ง จองที่พักผิดตำแหน่งเพราะคิดว่าเราไปลงอีกสถานีนึง ที่พักเลยอยู่นอกเมือง เดินทางลำบากอีก สอง ไม่ได้หาข้อมูลรถบัสมาก่อนเพราะคิดว่าเดินถึงสบายๆ (ที่แท้เข้าใจผิด) สาม ถึงสถานีแล้วหาป้ายรถเมล์ไม่เจอ ต้องเดินหาลากกระเป๋า แดดร้อนอีก สี่ เจอแล้วก็หารถลงจุดนั้นไม่เจออีก ถามคนรอรถบัสกันวุ่นวาย ห้า เจอแล้วนั่งผิดสายอีกต้องไปขึ้นอีกฝั่งหนึ่ง สุดท้ายก็ถึงบริเวณที่พักจนได้ ขณะที่เดินลากกระเป๋าไปที่พัก ก็เหลือบไปเห็นร้านเจลาโต้คนเพียบ เลยไม่รีรอเข้าไปเติมพลังกันก่อนค่ะ นี่คือร้าน Gelateria Pasticceria Badiani อันโด่งดังดั้งเดิม เปิดมาตั้งแต่ปี 1932! รสชาติดีมากก นี่ถ้าไม่จองที่พักแถวนี้ก็คงไม่ดั้นด้นมาทานแน่ๆ ถือว่าโชคดีที่ได้มากินค่ะ

italia3-15
เดวิด หล่อมาก

เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทริปกันเลยค่ะ รถบัสสายเดิมพาเรากลับเข้ามาในเมือง จุดมุ่งหมายแรกคือ Galleria dell’Accademia เพื่อมาดู David ผลงานก้องโลกของ Michelangelo ระหว่างทางก็เห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นวาดรูปอยู่เลยต้องมองดูว่าเค้าวาดอะไร คุณพระ! ภาพจริงที่เห็นคือเส้นถนนนำสายตาไปสู่ส่วนหนึ่งของอาคาร Cathedral of Santa Maria del Fiore มหาวิหารฟลอเรนซ์อันใหญ่โตสะกดสายตาไปได้ชั่วครู่ แม้เห็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ของอาคารทั้งหมด แต่ภาพที่เห็นเหมือนต้องมนต์สะกด แต่ก่อนจะไปดูของจริงใกล้ๆ มาดู David กันก่อนนะ รูปปั้นมนุษย์หินอ่อนขนาดใหญ่นี้ไม่ใหญ่เท่าที่คาดการณ์ไว้ แต่มีความสวยงามสมคำร่ำรือ เป็นหนึ่งในงานศิลปะยุคเรเนซองส์ที่มีชื่อเสียงสุดๆ เดินชมกันอยู่นานทีเดียวค่ะ ชอบรายละเอียดของกล้ามเนื้อที่ดูแข็งแกร่งด้วยมัดกล้ามแต่ก็อ่อนช้อยในทีเหมือนเป็นกล้ามเนื้อจริงๆ

italia-13
Cathedral of Santa Maria del Fiore มหาวิหารแห่งเมืองฟลอเรนซ์ ใหญ่โตเหลือเกิน

ถัดจากนั้นเป็นเวลาของ มหาวิหารฟลอเรนซ์ อันใหญ่โต สวยงาม อลังการ จนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรค่ะ ในใจคิดว่าคนเมื่อก่อนน่าจะชอบสร้างอะไรที่ใหญ่เว่อวังเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นที่สุด ส่วนตัวคิดว่าวิหารนี้ใหญ่เกินไปที่จะให้มนุษย์มาทำพิธีกรรมทางศาสนา เหมือนเป็นสถานที่ให้ทวยเทพ หรือสิ่งที่เค้าเคารพนับถือ และเชื่อว่ามีขนาดใหญ่โตกว่ามนุษย์มากๆ มาใช้บริการมากกว่า ที่นี่ค่อนข้างรอคิวนานแต่ไหนๆ ก็มาแล้วและที่สำคัญคือเข้าฟรี อันนี้คุณพี่ไม่พลาด

Italia2-04
ภาพวาด The Last Judgement อยู่ใต้โดมของมหาวิหาร

สิ่งที่ควรชมด้านในคือภาพเขียน The Last Judgement ที่อยู่ใต้โดมซึ่งมีความสูงถึง 45 เมตร เงยดูกันสุดฤทธิ์ค่ะ แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้ซื้อตั๋วขึ้นไปบนโดม เพื่อชมภาพเขียนใกล้ๆ และชมวิวเมืองฟลอเรนซ์จากด้านบน เราว่าน่าจะสวยทีเดียว หลังจากนั้นเราเดินเล่นผ่าน Piazza della Signoria และผ่าน Uffizi Gallery ที่โด่งดังแต่ไม่ได้เข้าไป เพื่อไปดู Ponte Vecchio สะพานชื่อดังประวัติศาสตร์มากมาย สร้างเป็นตึกมีร้านขายของอยู่เต็ม แปลกดีแต่เฉยๆ นะ เย็นมากแล้วเราขี้เกียจหาข้อมูลรถบัส ก็เลยเดินกลับที่พักมันซะเลย ได้เดินดูร้านรวง ดูผู้คน ตลาด ผ่าน Basilica of Santa Croce ตอนลำแสงสุดท้ายส่องกระทบหน้าโบสถ์พอดี สวยงาม

italia3-05
The Two Towers

BOLOGNA

วันถัดไปเราแวบไปเจอเพื่อนคนละครึ่งทางที่เมือง Bologna เรามาจากฟลอเรนซ์ครึ่งชั่วโมงโดยรถไฟ ส่วนเพื่อนเที่ยวอยู่เวนิซห่างไปเวลาเดียวกัน เพื่อนเราเป็นคนอินเดีย-ฝรั่งเศสเพิ่งเที่ยวกลับมาจากสักประเทศในยุโรป 555 จำไม่ได้แระ บังเอิญว่าวันนี้เราอยู่ใกล้กันที่สุดและต่างคนต่างว่าง เลยได้นัดเจอกันเป็นครั้งแรกในรอบสามปีตั้งแต่รู้จักกันที่พม่า พี่แกพาเพื่อนชาวสเปนมาอีกคนค่ะ เราสามคนเริ่มเดินเที่ยวเมืองไปอัพเดตชีวิตกันไปอย่างสนุกสนาน เริ่มต้นละลายพฤติกรรมกันก่อนเลยที่ Two Towers เมืองนี้เมื่ออดีตครอบครัวผู้มากมีจะแข่งกันสร้างหอคอยเพื่อประกาศศักดาค่ะ แบบว่าใครสร้างได้สูงกว่าก็เก่งกว่างี้ ปัจจุบันที่นี่เหลือเพียง Two Towers นี้ ที่มีชื่อเสียงและยังพอเที่ยวได้ Garisenda คือหอคอยที่เล็กกว่า ส่วน Asinelli คือหอคอยความสูง 97.2 เมตร มีบันได 498 ขั้นและขึ้นไปชมเมืองได้ (แต่ช่วงที่เขียนนี้เค้าปิดซ่อมแซมซะแล้วนะคะ) วิวด้านบนขอบอกว่าเหมือนเราหลุดเข้าไปในยุคกลาง บ้านเรือน ผังเมือง เป็นอะไรที่สวยสะดุดตามากๆ ชอบวิวบนนี้มากค่ะ

italia-14
วิวเมืองโบโลญ่าจากบนหอคอย เหมือนหลุดไปอีกโลกนึง

จากนั้นก็ต้องไปทานอาหารประจำเมืองนี้กัน คนทั่วไปรวมถึงเราเองก็คงคิดว่า เมืองโบโลญาก็ต้องมีสปาเก็ตตี้โบโลนีส ซอสเนื้อมะเขือเทศอะไรแบบนั้น หรือไส้กรอกโบโลน่านั่นก็ใช่อีก แต่ที่นี่เป็นเมืองที่มีต้นกำเนิดของอาหารหลากหลายเลยค่ะ

italia-03
ซอสโบโลนีสอร่อยมากจริงๆ ท้องร้องอีกแล้ว ฮือ

เที่ยงนั้นเราไปที่ Osteria All Due Porte ร้านอาหารในตรอกสีสัน เต็มไปด้วยร้านรวงผับบาร์ กลางคืนคงจะคึกคักน่าดู เราสั่งอาหารของเมืองนี้นั่นคือ Tortelloni-พาสต้ารูปร่างเกี๊ยวจิ๋วใส่คอทเทจชีสข้างใน ท๊อปมาด้วยซอสเนื้อมะเขือเทศ, Lasagna-พาสต้าเส้นใหญ่แทรกซอสเนื้อมาเป็นชั้นๆ, Passatelli-พาสต้าที่ทำจากแป้งขนมปัง เสิร์ฟในซอสครีม อันนี้เลี่ยนไปมันเยิ้ม, และตบด้วย Panna Cotta ของหวานสัญชาติอิตาเลี่ยนแต่ไม่ทราบว่ากำเนิดที่เมืองไหน จริงๆ เมนูอีกอย่างที่ชอบแต่สั่งบ่อยแล้วคือ Tagliatelle คือเส้นพาสต้าคล้ายๆ Fettuccine ผัดกับซอสโบโลนีสอร่อยล้ำเข้ากันดีเหลือเกิน พอทานอิ่มแล้วรู้สึกเหมือนพิชิตเอเวอร์เรสเล็กๆอีกลูก เพราะการได้ลิ้มลองอาหารจากต้นกำเนิดรสชาติอร่อยถือเป็นความสุขอันแสนวิเศษค่ะ ไหนจะกินเจลาโต้ทุกวันอีก เปรมมากค่ะ เวลาที่เหลือเราเดินชิลล์ๆ แถว Piazza Maggiore ศูนย์กลางของเมือง ตรงนั้นจะมี Basilica di San Petronio ให้ความรู้สึกสวยแบบแปลกดีเพราะหน้าวิหารนี้ครึ่งนึงเป็นหินอ่อนครึ่งนึงเป็นอิฐ

italia-15
ลาน Piazza Maggiore ใจกลางเมืองโบโลญ่า

เย็นนั้นเรานั่งรถไฟกลับไปฟลอเรนซ์ด้วยความสุข ก่อนกลับห้องขอเดินเที่ยวเมืองนี้อีกรอบ เราเลือกเดินไปที่ Forte di Belvedere ป้อมปราการบนเขาอีกฟากของเมืองเพื่อขอดูเมืองและมหาวิหารฟลอเรนซ์แบบไม่ต้องแย่งใคร ไม่ต้องรีบเร่ง

Italia2-07
ชมวิวเมืองฟลอเรนซ์จากป้อมปราการ Forte di Belvedere

นึกขึ้นได้ค่ะว่าญาติที่โรมบอกเราอย่าลืมทาน Bistecca Fiorentina มันคือสเต๊กชิ้นโตน้ำหนัก 1kg ของดีเมืองฟลอเรนซ์ อ่ะอุตส่าห์มาแล้วก็ต้องลองเนอะ เราลองเดินหาร้านทั่วไปที่มีป้ายสเต๊กที่ว่า คือไม่อยากไปที่ร้านมีรีวิวเพราะราคาแรงทั้งนั้นเลย สุดท้ายก็ได้กินเนื้อหนัก 800g กับเบียร์ 1 แก้ว ต้องบอกว่าเนื้อนี้ไม่ออกรสชาติเนื้อเลยอ่ะ เสียดายพื้นที่ในท้อง 555

Untitled-1-15
มาดูให้เห็นกับตา

PISA

จุดหมายปลายทางของวันใหม่วันนี้คือ หอเอนปิซ่าและเมืองลูกกวาดริมทะเล Cinque Terra อีกหนึ่งไฮไลท์ของทริป ก่อนอื่นเรานั่งรถไฟแต่เช้าไปปิซ่าใช้เวลาเพียง 50 นาที และจองเที่ยวถัดไปในเวลาที่ห่างไปอีกเพียง 2 ชั่วโมง เรียกว่าแวะมาดูหอเอนปิซ่าให้เห็นกับตาเท่านั้น  ไม่พอ รถบัสที่นั่นจะมีเวลาให้ใช้ 70 นาทีต่อการจ่ายค่าตั๋วหนึ่งครั้ง คิดเล่นๆว่า เราคงไม่ใช้เวลาเยอะอยู่แล้ว และเราคงไม่เดินติงนองนอยอยู่แล้ว เรานั่งรถบัสของเมืองกรูตามนักท่องเที่ยวไป เพราะรีวิวบอกว่าเดินทางไม่ยาก ให้เดินตามๆ กันไป พอลงรถเราก็ตามฝูงชนไปค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมกลุ่มคนค่อยๆ ลดลง สุดท้ายกลายเป็นว่า เราเดินตามเด็กนักเรียนที่กำลังเดินไปโรงเรียนต่างหาก เอ๋า! เสียเวลาถ่ายรูปเลยค่ะเพราะเด็กพาอ้อมไปไกล (ตัวเองไม่เตรียมตัวมาเองก็โทษเพื่อนเนอะคนเรา) พอรู้ตัววกเข้าหอเอนปิซ่าอีกทางหนึ่งซึ่งถือว่าได้มุมดีทีเดียวค่ะ เพราะคนทั่วไปจะเข้าอีกทางที่เราพลาดมา 555 กว่าจะถ่ายจะเก็บทุกมุมหมดคุณพระผ่านไปแล้ว 1 ชั่วโมง แล้วตั๋วรถบัส 70 นาทีล่ะ ไม่นะไม่อยากซื้อใหม่ เราวิ่งหอบมารอที่ป้ายในขณะที่เวลาเริ่มจวนเจียน ความหวังริบหรี่ สรุปรถบัสมาไม่ทันน่ะสิคะ เซ็งจัดเหมือนจังหวะไม่ได้ ผ่านเวลาที่กำหนดไปสักพักรถบัสเจ้ากรรมก็เข้ามาจอด ด้วยความนอยด์นิดๆ เราใช้เทคนิคเดิมคือเดินตามๆเค้าไป ทำเป็นว่าเนียนไม่แสตมป์ตั๋ว 555 เอ๋า ผ่านหน้าตาเฉย ถามว่ารู้สึกผิดมั้ย มีบ้าง แต่รู้สึกดีที่ไม่ต้องจ่ายตังด้วยนะ อ่ะแบบนี้ได้เหรอ

italia-19
Le Spezia เมืองติดทะเล แต่ให้อารมณ์ที่แตกต่างจากบ้านเรา

LE SPEZIA – CINQUE TERRA

รถไฟความเร็วสูงพาเราต่อไปที่เมือง Le Spezia ใช้เวลาเดินทาง 50 นาที ที่นี่เป็นเหมือนเมืองใหญ่ที่นักท่องเที่ยวมาหยุดพัก ก่อนไปเที่ยวเมืองเล็กๆ ริมทะเลทั้งห้า บางคนอาจไปพักที่เมืองดังกล่าวเลย เพราะสวย โรแมนติก ฟินในอารมณ์ แต่บางคนก็เลือกจะพักที่นี่ด้วยเหตุผลเรื่องราคาที่ถูกกว่ามากกกก แม้ว่าอารงอารมณ์จะไม่ได้ และนั่นคือเหตุผลหลักของเราค่ะ 555 ไม่เป็นไรค่ะ เราบิ้วท์อารมณ์เองได้ 555 เราเดินลากกระเป๋าไปไกลมากก เพื่อไปพักอพาร์ทเมนท์ราคาดี สิ่งอำนวยความสะดวกครบ แล้วเราก็แถกกลับมาที่สถานีรถไฟเพื่อมาซื้อ Cinque Terra Pass 1 วันเพื่อนั่งรถไฟสายท้องถิ่นไปเก็บทุกเมือง เสียดายที่พาสนี้รวมการเดิน trek ตามเมืองต่างๆ ด้วยแต่เหมือนช่วงนั้นเค้าปิดปรับปรุงกันหมด บวกขี้เกียจ บวกแดดร้อน เราไม่เดินค่ะ ถ้าอยากเดินจริงๆแนะนำว่าต้องเช็คล่วงหน้ามาดีๆว่าเค้าปิดรึป่าวนะคะเพราะข้อมูลตรงนี้ในเน็ตมีมากและมั่วไปหมด ส่วนพี่ที่มาด้วยกันแกขอเลือก option นั่งสปีดโบทไปตามเมืองต่างๆแบบไฮโซ ขึ้นเรือจากแถวๆที่พักเลยไม่ต้องเดินไกล ไปเที่ยวแปปเดียวครบหมด ก็ดีค่ะเหมาะกับแกแต่ไม่เหมาะกับเรา เพราะแพง 555

italia-16
Riomaggiore ร้านรวงเยอะมาก นักท่องเที่ยวก็เช่นกัน

ก่อนจะแยกกันเที่ยว เราแวะกินอาหารทะเลชื่อดังริมท่าด้วยกัน Punto Di Prima Vendita & Ristoro – dai pescatori ชื่อยาวจัง คนต่อคิวกินกันแบบอร่อยราคาถูกเนอะ แต่เปล่าเลยค่ะ ราคาแรงปกติ รสชาติพอกินได้เพราะเราชอบคาลามารี่ คืออยากชวนฝรั่งไปกินที่ภาคใต้บ้านเราจังเลยค่ะ น่าจะเปรมกว่าเยอะ 

11-15.jpg
อยากลงไปเล่นน้ำ กระโดดน้ำ อาบแดด ที่ Riomaggiore

ในห้าเมืองของ Cinque Terra นี้ จะเรียงกันไปตามแนวยาวริมทะเล ยกเว้นเมือง Corniglia ซึ่งอยู่บนเขา ต้องนั่งรถบัสขึ้นไปหน่อย เราเริ่มต้นนั่งรถไฟถึงเมืองแรก Riomaggiore เมืองหลักของที่นี่ ให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจดีค่ะ แม้ตึกรามบ้านช่องจะดูเก่าๆ เหมือนไม่ค่อยทาสีบ้าง แต่ก็ไม่แย่อะไร ร้านรวงสีเหลือง ส้ม แดง ตัดกับเรือสีสดจอดริมทะเลสีฟ้า แดดแรงสุดๆ ยิ่งขับสีสันเมืองนี้ให้โดดเด่นมีชีวิตชีวา ถ่ายรูปยังไงก็สวยค่ะ เห็นฝรั่งนอนอาบแดดตามซอกหิน กระโดดน้ำตูมๆ โอ้ย แอบฟินแทนเน้อ ถ้ามีโอกาสมาอีกต้องมาว่ายน้ำที่นี่ให้ได้ค่ะ รอบนี้มาสำรวจโลกก่อน

italia-17
ชอบวิวเมือง Manarola ที่สุด

ถัดไปเราไปเมือง Manarola ค่ะ อารมณ์จากสถานีเดินไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านเมืองก็คล้ายๆกับเมืองที่แล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างคือเมืองนี้มีพื้นที่ริมผาที่ติดทะเลค่อนข้างมากกว่า ทำให้เรามีมุมถ่ายรูประยะไกลที่มากกว่า ดูสวยงามยิ่งนัก สวยจนต้องกลับมาถ่ายรูปตอนกลางคืนอีกรอบ ถัดไปเราตัดสินใจไปเมืองที่ไกลสุดก่อนนั่นคือ Monterosso แล้วค่อยไล่กลับมา

italia-18
รอบหน้าถ้ามีโอกาส อยากมาพักที่เมือง Monterosso

เมืองนี้ไม่มีผามีแต่ชายหาดเป็นทางยาว ที่พัก ร้านอาหารริมทะเลพรึ่บพรั่บ ผู้คนจะมาเล่นน้ำ อาบแดดกันบนชายหาดที่นี่ ถ่ายรูปไม่สวยมาก แต่ถ้าชอบอาบแดด ชอบทะเลแบบตื้นๆ เดินลงไปเล่นน้ำได้ ที่พักติดทะเล ต้องมาเมืองนี้

italia3-04
เค้ามาอาบแดดเล่นน้ำกันเยอะจริงๆ

หลังจากนั้นเราวกกลับไปเมือง Vernazza ค่ะ เมืองนี้ยังให้บรรยากาศเมืองติดผาริมทะเลเหมือนสองเมืองแรก แต่มีพื้นที่ราบริมทะเลมากกว่าหน่อย ก็เลยมีร้านอาหาร outdoor ใกล้ทะเลบรรยากาศดีมาก ณ ขณะนั้นดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เราเดินไปที่ปลายแหลมสุดของหาด ใกล้กับท่าเรือ นั่งชันเข่าบรรยากาศสบายๆ มองเมืองฉาบแสงสีส้มพร้อมกับจิบเบียร์เย็นๆ ตามลำพัง แม้เราอยู่ห่างกันคนละซีกโลก คนละเขตเวลา แต่เค้าคงรับรู้น้ำเสียงที่สงบ เย็น เป็นสุขของเรา มันเป็นช่วงเวลาที่โรแมนติกที่สุดแม้เพียงแค่ได้พูดคุยกัน I wish you were here ฮิ้วว…

italia-04
รู้สึกว่า Vernazza เป็้นเมืองที่โรแมนติกดีค่ะ

ก่อนกลับที่พักเราขอนั่งรถบัสขึ้นไปดูเมือง Corniglia เสียดายที่เราไม่ได้สนใจเดินเล่นมากมายเพราะกลัวไม่มีรถบัสกลับลงไป และไม่อยากเสียตังเพิ่มถ้าต้องนั่งรถคันอื่น เลยไม่ได้เห็นความสวยงามของเมืองนี้เท่าไหร่ 

italia-10
Corniglia เรายังไม่ได้เดินเล่นทุกซอกทุกมุมเลย

เช้าวันต่อมาเราแพลนล่วงหน้าว่าจะเที่ยวใน Cinque Terra ต่อ แต่ต้องบอกตามตรงว่าถ้าเราไม่ได้จองที่พักที่นั่น ไม่ได้เดิน trekking อะไรจริงจัง เป็นเพียงนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คที่แวะมาดูเมืองนี้ เราว่าใช้เวลาครึ่งวันเที่ยวก็เพียงพอแล้วค่ะ อีกอย่าง ถ้าจะไปวันนี้อีกก็ต้องซื้อพาสหรือตั๋วเที่ยวเดียวอีก เปลืองตังเปล่าๆ แนะนำว่าถ้าอยากมาจริงจังมาฮันนีมูนงี้ ให้จองที่พัก ณ เมืองใดเมืองหนึ่ง แล้วใช้เวลาละเลียดแต่ละเมือง ชิลล์ๆ เดินเล่น จิบกาแฟ ทานอาหาร นอนอาบแดด เล่นน้ำ อะไรแบบนั้นจะเป็นที่ถูกใจกว่าค่ะ วันนี้ทั้งวันก็เลยเดินเล่นไปทั่วเมือง Le Spezia เรียกว่าเดินจนเบื่อ ยังดีที่มีโอกาสเข้าร้าน flying tiger Copenhagen สินค้าแปลก ไอเดียบรรเจิด ดีไซน์เก๋ แถมราคาไม่แพง ให้เราใช้เวลาได้อย่างเพลิดเพลิน ได้ของฝากมาตรึม สรุปคือไปอิตาลีซื้อของเดนมาร์กมาฝากเพื่อน 555

ASTI

เย็นวันนั้นเราจับรถไฟไป Asti เมืองเล็กๆ ในชนบท เลยไม่มีรถไฟเร็ว ต้องเปลี่ยนสายที่เมือง Turin ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดถึง 3 ชั่วโมง แต่สุดท้ายมาตกรถที่ตูรินอีก เพราะรถไฟเลทสะสม ยังดีที่มีขบวนถัดไป กลายเป็นว่าเราต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงเต็มกว่าจะถึงที่หมาย ให้พี่เค้ารอเลทไปไม่พอ เค้ายังรอทานอาหารเย็นกับเรา แล้วเค้าทำสเต็กและไส้กรอกแบบ Homemade ปิ้งย่างกันหลังบ้านอีกด้วย อาหารเต็มโต๊ะ เกรงใจมาก แต่เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ งานนี้ต้องกินให้เกลี้ยง 555 

22-15.jpg
เมืองนี้มีแต่ไร่องุ่น

ในวันถัดมาเราใช้เวลาอยู่กับญาติท่านนี้ทั้งวันค่ะ คุณพี่เค้าเป็นคนไทยที่มาแต่งงานกับสามีชาวอิตาลี มีลูกชายหนึ่งคนวัยกำลังซน คุณสามีเป็นเจ้าของโรงงานผลิตไวน์ โอ้พระเจ้า นี่เป็นเหมือนความฝันที่เป็นจริงเลยค่ะ คิดตามเล่นๆ ว่า ถ้าเราได้มาอยู่ประเทศที่เต็มไปด้วยอาหารอร่อย กินพิซซ่า กินสปาเก็ตตี้ทุกวัน อยู่ท่ามกลางไร่องุ่นกินไวน์ได้แบบไม่อั้น ชีวิตนี้คงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว 555 เอ่าตื่นค่ะตื่น กลับมาสู่โลกปัจจุบัน เราเดินเล่นในไร่องุ่นของเค้า ได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติแบบชนบท อากาศเย็นสบาย หายใจสดชื่น มีความสุขค่ะ ต่อจากนั้นเราก็ไปดูบ้านเมืองของเค้า เยี่ยมโรงงานไวน์ของเค้า ไปที่ที่เค้าพาลูกไปเรียน ไปนั่งดูลูกเค้าเตะบอล ชีวิตช้าๆ แบบชิลล์ๆ ดีนะ ตกดึกวันนั้นเค้าพาเราไปทานดินเนอร์เป็นคอร์ส ณ ร้านอาหารหรูที่เอาปราสาทเก่ามารีโนเวท Tra la Terra E Il Cielo ฟีลดีจริมจริม เป็นมื้อค่ำแสนพิเศษที่น่าจดจำ 🙂

มีพบก็ต้องมีพราก มีจากก็ต้องมีเจอ สักวันเราจะกลับมาพบกันที่ไหนสักแห่ง อยากเห็นเด็กคนนี้เติบโตเป็นหนุ่ม เรื่องราวที่เล่า เราว่าก็ไม่เท่ากับการเล่าผ่านบุคคลนะคะ เมื่อพบกันอีกครั้งก็คงมีอะไรให้คุยให้อัพเดตกันเยอะทีเดียวเนอะ 

Italia2-01
ลานกว้างกลางเมืองมิลาน กับมหาวิหารและห้างดัง

MILAN

เช้านี้เราเดินทางกันต่อค่ะ จุดมุ่งหมายคือ Milan ต่อด้วย Verona เราวางแผนแวบมาที่มิลานเพียงครึ่งวัน แล้วไปพักที่เมืองโรมิโอแอนด์จูเลียต เพราะที่พักในมิลานแพงเหลือเกิน หาราคาต่ำๆ ไม่ได้เลยค่ะ และส่วนตัวคิดว่า ที่นี่ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากนักและเราไม่ใช่สายช้อปปิ้ง เมื่อรถไฟเทียบชานชาลาเรารู้สึกถึงความทันสมัย โอ่อ่า รู้สึกเมืองนี้มันมีความฮิปและความแฟชั่นยังไงบอกไม่ถูก ฝากกระเป๋าเสร็จแล้วก็ลงรถไฟใต้ดินไปที่ Duomo di Milano ไฮไลท์ของเมือง นี่คือสถาปัตยกรรมแบบกอธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก สวยสง่า งดงามสุดๆ ตั้งอยู่ในจัตุรัสกลางเมืองติดกันเลยกับ Galleria Vittorio Emanuele II ห้างที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลีและเป็นหนึ่งในห้างที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ดีไซน์ข้างในก็สวยมากเช่นกัน ถ่ายมุมไหนก็สวย ที่นี่เต็มไปด้วยแบรนด์ดังเต็มไปหมด คนก็เยอะมากเช่นกัน สิ่งนึงที่สังเกตว่าแตกต่างจากที่อื่นคือสไตล์การแต่งตัวของคนที่นี่ มันมีความชิคๆ คูลๆ เรียบหรูเน้นโทนดำ ดูไม่เหมาะสำหรับโลคอสทัวริสแบบเราเลย 555

Italia2-05
ด้านในดีไซน์พิถีพิถัน สวยเก๋มาก

เราเดินเล่นไปตามละแวกนั้น ลัดเลาะซอกซอยไปเรื่อย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ไปดูภาพ The Last Supper โดย Leonardo da Vinci ที่โบสถ์ Santa Maria Delle Grazie อันเก่าแก่ เพิ่งได้มาอ่านหนังสือย้อนหลังที่คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เล่าไว้ได้อย่างน่าสนใจว่าภาพนี้มีรายละเอียด มีที่มาอย่างไรบ้าง ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าต้องไปซ้ำอีกสักรอบสินะ ฮึฮึ ตกเย็นวันนั้นเราจับรถไฟมาลงที่เมืองเวโรน่า คราวนี้รู้แล้วว่าต้องนั่งรถบัสมาลงที่ไหน ศึกษามาอย่างดีค่ะ การจองที่พักนอกเมืองนิดแต่ประหยัดจึงมิใช่ปัญหาอีกต่อไป คืนนี้เก็บแรงไว้เดินต่อในวันถัดไป

Italia2-06
ชมเมืองเวโรน่าจากยอดหอคอย

VERONA

เวโรน่าเป็นเมืองเล็กที่มีเสน่ห์ เป็นเมืองที่เราชอบมากที่สุดแล้ว เหตุผลหลักอาจเป็นเพราะที่นี่นักท่องเที่ยวไม่มาก ไม่เบียดเสียดแออัด เรามีอารมณ์นั่งจิบกาแฟ เดินดูสถาปัตยกรรมต่างๆ ได้อย่างสงบ เอ็นจอยบรรยากาศได้อย่างเต็มที่ เราแวะไปบ้านของจูเลียต ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักของที่นี่ มีรูปปั้นของจูเลียตอยู่ข้างหน้าพร้อมด้วยระเบียงชั้นสองที่เป็นฉากหลัง ฉากหลักของนิยายรักก้องโลก ผู้คนมากมายมาถ่ายรูปและเขียนชื่อคนรักไว้ที่กำแพงบ้านที่เค้าจัดไว้ให้ ด้วยความเชื่อว่าจะมีความรักที่เป็นนิรันดร์ โรแมนติกเหมือนโรมิโอและจูเลียต แต่คงไม่ได้อยากให้จบแบบหักมุมเหมือนในนิยายหรอกนะคะ 555 ไม่ไกลกันมากคือจตุรัส Fontana Madonna เราสังเกตเห็นรูปหัวใจสีแดงอยู่บนพื้น ก็ไม่พลาดแชะรูปตามประสาคนมีความรักอ่ะนะ 555

italia3-13
เจอหัวใจสีแดงกลางลาน Fontana Madonna

ถัดไปไม่ไกลคือหอคอยประจำเมือง Torre dei Lamberti เอาไว้ขึ้นไปดูบ้านเมืองจากมุมสูง ซึ่งก็สวยงามตามท้องเรื่องเช่นเคยค่ะ จุดนี้ถ้าให้เทียบ เราว่าวิวจากหอคอยที่โบโลญ่าสวยกว่าที่นี่ค่ะ จุดสำคัญอีกที่คือ Arena di Verona อารีน่าจัดโชว์การแสดงต่างๆ ที่ยังใช้ได้ในปัจจุบัน ลักษณะเดียวกับโคลอสเซียมเลยค่ะ แต่เล็กกว่า วันที่เราไปมีงานร้องโอเปร่าพอดี น่าลองเข้าไปฟังสักครั้งในชีวิตดูนะคะ อยากรู้ว่าการฟังโอเปร่าในสถานที่เก่าแก่ยุคโรมันแบบนี้ ฟีลมันจะเป็นยังไง

Italia2-08
วิวเมืองเวโรน่าอีกมุมนึง จากปราสาท San Pietro สวยไปอีกแบบ

ก่อนจะตกเย็น เรามาชิลล์ริมน้ำที่ร้าน Al Ponte รับประทานอาหารเสพวิวริมแม่น้ำและปราสาท San Pietro ที่อยู่บนเขา ก่อนจะเดินขึ้นไปที่นั่น เพื่อชมวิวและแสงสุดท้ายของเมืองนี้โดยมีฉากเป็นแม่น้ำสีฟ้าสดและเมืองสีส้มฉาบแสงอาทิตย์ แล้วค่อยๆแต้มด้วยแสงไฟสีส้มเรืองๆ จากอาคารบ้านเรือน ถ่ายรูปเพลินๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดแล้วค่ะ ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นช่างผ่านไปไว ได้เวลากลับไปพักเพื่อเดินทางอีกครั้ง

Untitled-1-14
เวนิสยามเช้า

VENICE

เราออกเดินทางกันอย่างเช้าตรู่เพื่อไป Venice เมืองในฝันของเราและของใครหลายๆ คน ความฝันที่อยากจะมาเห็นด้วยตาตัวเอง เคยคิดเล่นๆ ก่อนหน้านี้ไม่นานว่า อยากมาเวนิสก่อนที่เมืองจะจมเพราะโลกร้อนน้ำทะเลสูงขึ้น เหมือนกับความฝันที่อยากเห็นทัชมาฮาลสีขาวสวยงามก่อนที่หินอ่อนโดนฝนกรดจนกลายเป็นสีเหลือง ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้เราจะได้มาจริงๆ แวบแรกที่เห็น Grand Canal หน้าสถานีรถไฟคือรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ตั้งความหวังไว้สูงประมาณนึงเลย รอบนี้โฮสเทลของเราอยู่ใกล้จุดแลนด์มาร์กของเวนิส แต่ด้วยยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน เราเลยฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีตามเคย ซื้อแพ็คเกจเฟอร์รี่ที่สามารถไป Murano และ Burano ได้ ทั้งยังครอบคลุมการนั่งไป St.Mark Square ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักของเราทั้งไปและกลับ จุดนี้ต้องคำนวนละเอียดมากเพราะค่าเรือแพงมากจริงๆค่ะ

italia-02
บูราโน่ เมืองแห่งสีสัน แต่ตึกร้างเยอะนะ

เราเริ่มทริปด้วยการไปเที่ยวเกาะ Murano และ Burano ที่อยู่ห่างจากเวนิสกันก่อนค่ะ ทั้งสองเกาะนี้มีชื่อเสียงเรื่องบ้านเรือนสีสันริมน้ำและธุรกิจการเป่าแก้วสีๆ ร้านขายแก้วมีมากมาย นักท่องเที่ยวก็เช่นกันค่ะ เราแวะทานข้าวเที่ยงกันที่มูราโน่เพื่อให้ได้บรรยากาศนักท่องเที่ยวจริงๆ ไม่พอยังนั่งตากแดด ใส่แว่นตากันแดดดูชิคๆ คูลๆ เป็นอะไรที่ดัดจริตมาก ร้อนมาก แต่ก็สนุกดีนะ 555 เหมือนเราได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ไม่ต้องแคร์สายตาใคร ไม่มีใครรู้จักเรา

italia3-01
มูราโน่ เมืองนี้สีสันเยอะไม่แพ้กัน คนอาศัยหนาแน่นกว่าบูราโน่

เดินเล่นถ่ายรูปสวยมากเพราะแดดดี แต่ก็แอบสงสัยว่าเมื่อก่อนคนที่นี่จริงๆ แล้วมีความเป็นอยู่อย่างไรนะ มีความรู้สึกว่าเมืองนี้ไม่มีเอกลักษณ์ แต่ทำขึ้นเพื่อรับนักท่องเที่ยว ไม่มีเสน่ห์ให้กลับมาอีก อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ

italia3-11
เก๋ๆ อีกมุมนึง

คล้อยบ่ายเย็นเราก็กลับมาเอากระเป๋าและนั่งเฟอร์รี่ไปที่พัก ได้เดินชมเมืองช่วงค่ำอีกเล็กน้อยก่อนจะรีบนอนเพราะอ่านรีวิวมาว่า ที่แห่งนี้ต้องตื่นมาเที่ยวตั้งแต่ไก่โห่ จะได้ถ่ายรูปไม่ติดฝูงคน

italia3-06
Bridge of Sigh ยามเช้าตรู่

เช้าวันถัดมาเราก็ตื่นแต่เช้าเลยค่ะ เดินผ่าน Bridge of Sigh ที่เค้าเล่าว่าเป็นสะพานที่นักโทษจะเห็นแสงภายนอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถูกคุมขัง เมื่ออิสระภาพเป็นเพียงสิ่งที่ตาเห็นแต่ไม่อาจได้มันมาครอบครอง ก็ต้องลอบถอดถอนใจ เหอๆ ลิเกมาก ถัดไปนั้นคือ St. Mark’s Square หรือ Piazza San Marco ที่รายล้อมด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามและสำคัญที่สุดในเวนิส นั่นคือ St. Mark’s Basilica และ Doge’s Palace ส่วนตัวได้เข้าไปในมหาวิหาร อลังการมากๆ สีทองอร่ามเรืองสุดๆ ด้านนอกนั้นก็งามไม่แพ้กันเลยค่ะ ยิ่งแสงแรกของวันสาดส่องกระทบผิวน้ำและอาคารเป็นสีทอง มีเสน่ห์จริงๆ

Italia2-11
Piazza San Marco ศูนย์กลางแหล่งท่องเที่ยวของเวนิส มีเสน่ห์มากยามเช้า

ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าต้องตื่นเช้ามาชมทำไม แต่พอเราได้เดินกลับมาที่นี่อีกรอบช่วงบ่าย เสน่ห์นั้นหายไปแล้วค่ะ เพราะฝูงชนนั้นแออัดเหลือเกิน แสงก็สวยไม่เท่า ดีใจที่ยอมตื่นมาชม หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นไปตามตรอกซอกซอยเรื่อยๆ ชมเมืองและกอนโดล่า เหนื่อยก็พักทานเจลาโต้จิบกาแฟไปเรื่อย ผ่านสะพาน Rialto ที่โด่งดังพร้อมด้วยเรือและคนที่จอแจด้านล่าง ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นะ สะพานที่ชอบมากกว่าคือ Ponte dell’Accademia ที่เดินดุ่มๆ ไปเจอโดยบังเอิญ พอชักภาพปุ๊บ โอ้โห เหมือนอยู่ในหนังสักเรื่องนึงค่ะ สวยมากเพราะแดดดีด้วย

italia-07
วิว The Grand Canal จากสะพาน Ponte dell’Accademia

แต่สุดท้ายแล้วพอเราไม่ได้มีจุดหมายว่าจะชมพิพิธภัณฑ์ ช้อปปิ้ง มาทานร้านอาหารดีๆ หรืออยากอยู่โรงแรมเพราะวิวดี ก็หมดกิจกรรมแล้วล่ะค่ะ ภาพที่ถ่ายดูดีกว่าความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูก เราคิดว่าเป็นเพราะที่นี่มีนักท่องเที่ยวเยอะเกินไป จนทำให้ขาดเสน่ห์ในบางเรื่องไป ค่าครองชีพก็แพงเกินไปด้วย ไม่ได้ขี้งกแต่บางอย่างก็มากไปค่ะ เข้าใจว่าเค้าคงเอามาพัฒนาเมืองงี้ โดยรวมเราว่าเฉยๆ ถ้าอยู่บ้านดูสารคดีอาจรู้สึกดี น่าไป แต่พอไปจริงๆ เห็นรายละเอียดปลีกย่อยก็เซ็งๆ บ้างเหมือนกันค่ะ

Italia2-10
เรือกอนโดล่าเป็นตับ

VATICAN CITY

เช้าวันสุดท้ายที่ได้เที่ยวเต็มวันเราก็กลับไปเจอญาติที่โรมกันค่ะ เราจับรถไฟเช้าสุดยิงตรงไปโรมใช้เวลาเพียง 3.5 ชั่วโมง คุณป้าให้ลูกแกมารับพาเราเที่ยวเก็บตกสถานที่ที่เหลือกันค่ะ หลังจากจัดข้าวเที่ยงพิซซ่าไปหลายชิ้นเราก็ไปที่ Month of Truth สิ่งนี้คือรูปปั้นกลมหน้าคนแก่ผมยาวๆ อยู่ในลักษณะเปิดตาอ้าปาก มีเรื่องเล่าว่าเมื่อก่อนเค้าใช้สิ่งนี้ในการตัดสินว่าคนนี้เป็นคนดีหรือคนชั่ว โดยการให้เค้าล้วงมือเข้าไปในปาก ถ้าเป็นคนดีก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าไม่ใช่ แขนเค้าจะถูกสิ่งนี้งับ เหวออ… แต่พี่เค้าเล่าว่ามันอาจเป็นเพียงกุศโลบายที่ทางการก็รู้อยู่แล้วว่าใครดีหรือชั่ว แต่ไม่มีหลักฐานชัดๆ หรือคนร้ายไม่ยอมจำนน เมื่อได้โอกาสที่คนชั่วยื่นมือเข้ามา เค้าจะมีทหารด้านหลังรูปปั้นนี้ฟันมือทิ้ง แล้วอ้างว่าเป็นสิ่งลี้ลับ คนที่ทำชั่วก็อาจจะกลัวไม่กล้ายื่นมือเข้าไป ทางการก็จับติด อะไรประมาณนี้ เหอๆ ถือว่าเป็นเทคนิคที่ดีนะคะ สนุกดีนะคะ ทำเราหลอนไม่กล้ายื่นมือเข้าไปเพราะรับรู้ถึงความชั่วของตัวเอง 555

Italia2-09
Month of Truth มีแอบเกร็งๆ 55

จบจากตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อดี เหลืออีกที่เดียวคือ Vatican City เนื่องจากเราไม่ได้ซื้อตั๋วล่วงหน้าหรือตั๋วพิเศษ เลยไม่คิดว่าจะต่อคิวธรรมดาไหวเพราะรีวิวบอกว่ามันยาวมากจะเสียเวลาเที่ยวไปเลยเป็นวันงี้  แต่ในที่สุดเราก็ได้เข้าไปข้างในโดยใช้เวลารอเพียงครึ่งชั่วโมงค่ะ ส่วนตัวมองว่าช่วงบ่ายแก่ๆ คนน่าจะน้อยกว่าช่วงเช้ากระมัง โชคดีจังค่ะ ตรงจุดที่รอนี้เรียกว่า St. Peter Square เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่รูปวงกลม ตรงกลางมีเสาโอเบลิคอียิปต์ที่เห็นได้หลายจุดในโรม มีน้ำพุและเสาโรมันสองข้างเป็นแนวยาวรูปครึ่งวงกลม พี่เค้าบอกว่าในลานนี้จะมีจุดๆนึงที่เราสามารถเห็นเสาโรมันทุกต้นแบบซ้อนกันพอดี เป็นการออกแบบที่มีความสมมาตรและมีความสามารถอย่างยิ่งยวด

Italia2-12
St. Peter Square

นครรัฐวาติกันเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก เป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา ประมุขสูงสุดแห่งคริสจักรโรมันคาทอลิก ด้านในนี้เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีประวัติศาสตร์มากมาย โดยเฉพาะที่มหาวิหารนักบุญเปโตร หรือ St. Peter’s Basilica ที่เราอยู่นี้ เป็นโบสถ์ที่สำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก เชื่อว่าเป็นที่ฝังศพนักบุญเปโตร อัครฑูตเอกของพระเยซู และท่านเองคือประสันตะปาปาองค์แรกแห่งโรมันคาทอลิกเช่นกัน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบทอดประเพณีนี้ค่ะ เราได้โอกาสขึ้นไปดูด้านบนสุดของโดม จากตรงนี้เราสามารถมองเห็นทั้งประเทศได้ในระยะสายตา ถือเป็นความรู้สึกที่แปลกดีค่ะ เอาจริงๆ เหมือนเราเข้าไปดูพระราชวังใดๆ มองเห็นความโอ่อ่าอลังการ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วรั้วของพระราชวังก็คือประเทศๆ หนึ่งนั่นเอง มหาวิหารนี้ จริงๆ แล้วถูกสร้างขึ้นมาบนมหาวิหารเดิม เมื่อเราลงไปดูหลุมศพของพระสันตะปาปาองค์ก่อนๆ ด้านล่าง เรายังได้เห็นส่วนของมหาวิหารเดิมอยู่เลยค่ะ กลับออกมาเราก็จะเจอทหารสวิสกับหอกโบราณและชุดสีสันสดใสซึ่งมีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ทหารสวิสเหล่านี้คือชาวสวิสแท้ๆ ที่มีความจงรักภักดีและนับถือโรมันคาทอลิก คือมีความ traditional มากๆ อีกจุดนึงที่ไม่ได้เข้าชมคือ Sistine Chapel ซึ่งมีภาพเขียนบนเพดานชื่อดัง Creation of Adam ของ Michelangelo ที่นี่ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมาก สิ่งนึงที่เราสัมผัสได้คือ นี่คือศูนย์กลางอำนาจและเศรษฐกิจของคริสตจักรโรมันคาทอลิก ซึ่งเราไม่ขอลงลึกเรื่องรายละเอียด เอาเป็นว่าเราขอมาชื่นชมสถาปัตยกรรม ถ่ายรูป และเรียนรู้ประวัติศาสตร์แล้วกันค่ะ 

Print
วิวจากยอดโดม St. Peter’s Basilica

เมื่อกลับถึงที่พักในวันแรกและวันสุดท้ายในอิตาลีของเรา คุณป้าต้อนรับเราด้วย The Last Supper หรือ อาหารค่ำมื้อสุดท้ายที่สุดแสนประทับใจ เพราะแกทำสปาเก็ตตี้ครีมซอสเห็ดซึ่งใช้มอสซาเรลล่าชีสจากแคว้นแคมปาเนียในวันนั้นที่ไปซื้อด้วยกัน ยังจำรสชาติละมุนกลมกล่อมได้อยู่เลยค่ะ เราจัดกันเต็มที่ก่อนที่จะจัดกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับเมืองไทยในเช้าวันถัดไป

Ciao Ciao Italia
Finché Non Ci Incontreremo Di Nuovo!

italia3-09
bella vista a Venezia!

Sum up

ค่าใช้จ่ายทุกสิ่งอย่างรวมซื้อของฝาก ~ 53xxx บาท
ค่าเครื่อง คูเวตแอร์ ต่อเครื่องที่คูเวต โอเคอยู่นะ ~ 17xxx
ที่พักต่อคืนประมาน 1500 ต่อสองคน
ค่ารถไฟไม่แพงถ้าจองล่วงหน้านานๆ หน้าเว็บเค้าจะโชว์ส่วนลดเลยค่ะ
ค่าหลักๆ ก็ประมานนี้ ส่วนค่าเข้าชมบางที่ควรซื้อไปล่วงหน้าเพื่อความรวดเร็ว
อาหารอร่อยมากกกกก ถูกจริตข้าพเจ้า แต่บางคนอาจเลี่ยน
เจลาโต้อร่อยมากกกกกกกกกกกกกก
กาแฟดี
เบียร์ก็โอ ราคาไม่แพง 🙂