มูซาชิ โดย สุวินัย ภรณวลัย

มูซาชิ เป็นหนึ่งในหนังสือเพียงไม่กี่เล่มที่อ่านรวดเดียวเกือบจบ

ที่อ่านไม่จบในคราเดียว เพราะมันหนากว่า 700 หน้า และได้เริ่มอ่านในวันสุดท้ายตอนไปเที่ยวสมุยแล้วค่ะ ตรงนี้เป็นข้อดีที่ว่า เราได้ชิลล์กับสมุยตลอดทั้งวีคเต็มอิ่มแล้ว ถ้าได้เริ่มอ่านวันแรกๆ คาดว่า อาจจะติดหนังสือมากกว่าติดบรรยากาศสมุยเป็นแน่

เหตุผลที่หยิบหนังสือเล่มนี้ เป็นเพราะสำนักพิมพ์ openbooks ที่เราชอบ เรื่องอื่นทั้งผู้เขียน ทั้งประวัติของมูซาชิ ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยค่ะ แต่อาจจะหยิบเพราะดีไซน์ปกและการแนะนำของสำนักพิมพ์ตอนเดินในงานหนังสือก็เป็นได้ แม้ว่าราคาก็เอาเรื่องอยู่เพราะความหนานี่แหละ

ดองไว้กี่ปีมิทราบ แต่เรื่องราวในหนังสือ ประกอบกับสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นไร้กาลเวลามาก ไม่รู้สึกเสียดายเงินเลยสักนิด เรียกว่า พออ่านเสร็จก็ขอมาเขียนรีวิวสักหน่อยเลยค่ะ เพราะยังเต็มอิ่มกับความรู้สึกอยู่

มูซาชิ เป็นซามูไรที่มีชื่อเสียงด้านวิชาดาบ และด้านปัญญามากๆ โดยเขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดช่วงชีวิตของเขาเอาไว้ใน คัมภีร์ห้าห่วง ซึ่งผู้เขียนเองได้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาให้เป็นลักษณะนิยายอิงประวัติศาสตร์อีกทีหนึ่ง ชื่อเต็มว่า มูซาชิฉบับท่าพระจันทร์ Musashi: Sword of Mindfulness อ่านแล้วเพลินมากมาย สนุกดีค่ะ

โดยในเนื้อหา เป็นการบอกเล่าชีวิตของมูซาชิ ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นทหารแพ้ศึก ไปจนถึงตอนพิชิตนักดาบฝ่ายตรงข้าม โคยิโร่ ซึ่งเหมือนเป็นจุดพีคของชีวิตมูซาชิ เร้าใจสุดๆ แล้วก็จบดื้อๆ 555 ทำให้เราต้องจินตนาการต่อไปเองว่า ชีวิตของเขาหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะกับ โอซือ ผู้หญิงที่เป็นที่รักของเขา

ความน่าสนใจของมูซาชิ ไม่ใช่แค่ความสามารถในด้านวิชาดาบที่เก่งกาจ หรือบุคคลิกภาพที่ดูเป็นคนคูลๆ ตามแบบซามูไรในหนัง แต่มูซาชิยังใช้ดาบนี่แหละ ในการฝึกใจและกายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรียกว่า เข้าถึงความรู้แจ้ง เข้าถึงสติ เข้าถึงตัวเองและสรรพสิ่ง ด้วยวิชาดาบของตน

ในขณะที่ มูซาชิ เป็นซามูไรที่มีตัวตนจริงๆ มีกิเลส มีโทสะ มีความรู้สึกเหมือนกับเราๆนี่แหละ อาจมีพลั้งพลาดให้ศัตรูบ้าง รู้ไม่เท่าทันคนอื่นบ้าง แต่ที่สำคัญคือ การพลาดพลั้งให้กับศัตรูในจิตใจของตัวเอง ซึ่งมีบ่อยมาก และทำให้เราเห็นว่าศัตรูที่แท้จริงที่สร้างผลกระทบได้มากที่สุด ก็คือตัวเราเอง ไม่ว่าจะมูซาชิ หรือจะใครก็ตาม

ในเนื้อหาอาจเป็นนิยายที่แต่งเติมให้มูซาชิดูเท่ ดูเก่งกว่าความเป็นจริงหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ แต่เรารู้สึกว่าผู้เขียนบรรจงถ่ายทอดได้ดีมาก มีความสมดุลระหว่างการบรรยายเรื่องราวโดยทั่วไปที่สนุกสนาน เพลินไปกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แล้วพาลให้นึกถึงเมืองต่างๆ ที่เราเคยไปเยือน คิดถึงญี่ปุ่นมากค่ะ กับในส่วนความคิดของมูซาชิที่ลึกซึ้ง กินใจ กระแทกกระทั้น สะท้อนให้เราต้องคิดตามอย่างกระหายใคร่รู้ สะใจดีค่ะ 555

ตอนหนึ่งที่ชอบ เมื่อมูซาชิสอนเหล่าชาวบ้านให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับโจรป่า โดยสอนใช้รู้จักเปลี่ยน ดาบ เสียม เป็นอาวุธ แล้วเก็บรวบรวมอาวุธของโจรไว้ป้องกันหมู่บ้านในอนาคต และสอนให้ชาวบ้านเห็นความได้เปรียบในกลุ่มของตน พร้อมกับสอนให้รู้จักสู้ ไม่ยอมอยู่ฝ่ายเดียว ตรงนี้สะท้อนให้เราเห็นว่า ปัญหาก็เหมือนกับโจรป่า ถ้าเรายอมให้ปัญหามาทำร้ายเรา เราก็จะเจ็บปวดอยู่ร่ำไป สู้ให้เรามองปัญหาในมุมที่แตกต่าง แล้วค่อยๆแก้ไปตามความสามารถของเรา ยอมรับและเผชิญหน้ากับมัน อาจจะต้องเจ็บบ้าง แต่ปัญหาจะทำให้เราแกร่งขึ้น แล้วปัญหานั้นๆ จะไม่สามารถทำร้ายเราได้อีก…

ตอนสุดท้ายในการประลองกับ โคจิโร่ นักดาบฝีมือไร้เทียมทานของยุทธภพ และเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกับมูซาชิ ณ ขณะนั้น เป็นหนึ่งในตอนที่ประทับใจ เพราะเราได้ติดตามชีวิตของทั้งสองมาตั้งแต่ต้น พอกำลังจะเริ่มประลอง มูซาชิก็บอกโคยิโร่ว่า เจ้าแพ้แล้ว! นั่นยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามโมโหและเสียสมาธิ พอเริ่มได้ดาบแรก มูซาชิซึ่งเตรียมมาเพียงไม้พายเรือ ที่ยาวกว่าความยาวของดาบโคยิโร่ ก็สร้างความได้เปรียบและพิชิตคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ เหล่านี้เพียงเพราะการเตรียมตัวมาอย่างดี การวางแผนที่รอบคอบ ความสุขุมมีสมาธิ และการเข้าใจถึงกระบวนท่าของดาบที่ทะลุปรุโปร่งของมูซาชินั่นเอง

มูซาชิ เป็นเหมือนตัวแทนของมนุษย์ธรรมดาที่สามารถพัฒนาให้อัจฉริยะได้ โดยผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจัง และผ่านความเข้าใจในเรื่องที่ตนถนัดอย่างถ่องแท้ ตกผลึก แล้วสามารถประยุกต์ให้มันเป็นแก่นในการดำเนินชีวิตได้อย่างลงตัว เป็นตัวอย่างให้เรานำไปใช้เพื่อพัฒนาชีวิตของเราทั้งทางกายและทางจิตวิญญาณได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ทำให้เราเห็นประสิทธิภาพของมนุษย์ เห็นคุณค่าในการใช้ชีวิต เห็นความหวังในปัญหาที่มืดมิด อ่านจบแล้วรู้สึกว่าพลังชีวิตเพิ่มมาโขเลยล่ะค่ะ 🙂

SAMUI MONKEYs TRAIL คุณหลอกดาว…

ต่อเนื่องจากประสบการณ์วิ่งเทรลครั้งแรกที่กระบี่ ล่อไป 40 กิโล แต่ไม่จบ เลยเป็นภาระใจให้ต้องสานต่อให้สำเร็จ หลังจากจบการวิ่งรอบแรกมา ก็บอกทุกคนว่า ไม่เอาแล้ว เหนื่อย นิ้วพัง เข่าพัง เท้าเยิน แต่ในที่สุดก็อดหางานวิ่งครั้งหน้าต่อไม่ได้ 555 สุดท้ายสมัครไปอีกสองงานจ่ะ คือ งานวิ่งเทรล 26 km ที่สมุย และ 57 km ที่พิษณุโลก

ไม่รู้ว่าติดใจการวิ่งเทรล หรืออยากเที่ยวกันแน่

ที่สมุยครั้งนี้เลือกแค่ 26 km เพราะอยากมาซ้อมสนามเพื่อเป้าหมายสนามถัดไปที่ดูจะเกินตัวไปหน่อย และอยากถือโอกาสมาเที่ยวสมุยด้วย ร่างจะได้ไม่พังเกิน

การเตรียมตัวครั้งนี้เรียกว่าแย่มาก 555 เพราะคิดว่าง่ายกว่าครั้งแรก ผ่านมาแล้ว 38 แค่นี่จิ๊บๆ ซ้อมวิ่งบ้างก็น่าจะพอ แถมไม่มีเทรนเนอร์คอยจ้ำจี้จ้ำไชเพราะนางไม่ได้ลงวิ่งด้วย แต่ก็คอยเตือนตลอดว่า พี่…วิ่งได้แล้ว พี่..วิ่งแล้วยัง พี่…วิ่งได้กี่โล… ไอ้เราก็ฟังบ้าง ชิลล์บ้าง สุดท้ายเป็นไงล่ะ ช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้าก็วิ่งได้อยู่หรอก แต่ช่วงสองสามวันสุดท้ายจะลองวิ่งเบาๆดู ก็ปรากฎว่า เหนื่อยมากกกกก ในใจก็คิดว่ากินเยอะๆก่อนวิ่ง น่าจะมีแรงเพิ่มขึ้นแหละ 55

การวิ่งรอบนี้ประเมินว่า ความยากจะอยู่ที่ช่วงกิโลเมตรที่สิบเพราะเป็นทางขึ้นเขา 1000 m ก็ดูเยอะเนอะแต่คิดไม่ออก ซึ่งเมื่อนั่งเฟอร์รี่มาลงสมุยแล้วเห็นเขากลางเกาะก็บอกคุณโอและคุณอ้อมผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันว่า เขาสูงจังเลยค่ะ เหอๆ จะไหวมั้ยเนี่ย ร่างกายประเมินไว้แล้วว่าไม่พร้อมเลย รู้สึกหวั่นๆ มีแต่ใจเท่านั้นที่สู้ ส่วนเวลา cut off อยู่ที่ 7 ชั่วโมง ซึ่งพอประเมินระยะทางแล้วรู้สึกว่า ไม่น่ายาก ไปเรื่อยๆน่าจะได้ แต่ช่วงแรกควรทำเวลาหน่อยเพราะมีเขาสูง

แล้ววันวิ่งก็มาถึง คุณอ้อมซึ่งพิชิตเทรลครั้งที่แล้วมาได้อย่างน่าภูมิใจ รอบนี้ก็ไม่น่าห่วง ถึงแม้นางบอกว่าไม่ได้ซ้อมเลย แต่เราเชื่อว่าสภาพร่างกายค่อนข้างโอเค แต่เรานี่สิ บอกว่าจะต้องลดน้ำหนัก แต่ไหงอ้วนขึ้นนะคะ กับคุณโอก็ไม่ต่าง เพราะพากันกิน 555

เริ่มวิ่งได้แค่ 3 กิโล ดิชั้นก็ออกอาการเหนื่อย จบแระงานนี้ คิดในใจ คุณโอและคุณอ้อมวิ่งห่างไปเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มแซงกันไปหมด รู้สึกแย่ที่ทำได้ไม่ดี แต่ก็พยายามกัดฟันวิ่งต่อไป แม้จะช้าแต่ต้องถึงเส้นชัยให้ได้ โอเน่นหยุดรอแล้วมาวิ่งเป็นเพื่อน คุณอ้อมนำไปเหมือนเดิม 55

เส้นทางสวย มีหลายแบบ หลายแนว แล้วสิ่งที่กลัวก็มาถึง นั่นคือทางขึ้นเขาค่ะ ไม่นึกว่ามันคือทางขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เทคนิคคือ ให้มองที่ขาสองข้าง ให้มั่นใจว่ามันจะก้าวออกไปเรื่อยๆ ทีละก้าวๆ ไม่ต้องก้าวยาว คุณโอบอกว่าให้ก้าวเล็กๆ ถี่ๆ เหมือนตอนขี่จักรยานขึ้นเขาแล้วใช้เกียร์ 1 อีกเทคนิคคือ ซอยเป้าให้เล็กๆ แล้วไปให้ถึง เพื่อให้เกิด small wins แปลว่า ไม่ต้องไปคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงยอด แต่ให้เอาจุดใดจุดนึงระหว่างทางเป็นเส้นชัยของเรา พอถึงแล้วจะได้รู้สึกดีกับตัวเอง แล้วทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงยอดนั่นแหละ เราว่าความรู้สึกมันต่างมากๆ เวลาคิดว่า เมื่อไหร่จะถึงยอด เพราะมันท้อตั้งแต่ยังไม่เริ่มวิ่ง มันจะรู้สึกแย่และเสียพลังใจไปหมดแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม การขึ้นเขาที่ว่าเหนื่อยแล้ว ไหนจะสู้การวิ่งลงเขา คุณพระ หน้าขาข้าพเจ้านี้ระบมไปหมดแล้ว เพราะมันต้องเกร็งเพื่อชะลอความเร็ว และคอยระวังไม่ให้ลื่นล้ม เป็นอะไรที่ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ 555 นิ้วเท้านั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะวิ่งครั้งที่แล้วก็ยังไม่หาย

เมื่อเข้าช่วงท้ายๆ คือน้ำตกธารเรือ ตรงนี้เหมือนเป็นโอเอซิสในทะเลทราย เพราะนอกจากจะได้สดชื่นลุยน้ำแล้ว ยังมีจุดพักที่มีของกินดีงามและที่สำคัญคือมีห้องน้ำค่ะ มันคือดี เพราะการปวดฉี่ตอนวิ่งมันทรมาน แม้ว่าจะเทรนมาแล้วว่าให้ค่อยๆจิบน้ำ จิบเกลือแร่ แต่ไหงทำไมยังปวดฉี่ล่ะ

พอลงมาจากเขาแล้ว ก็จะเป็นทางลาดยางชิลล์ๆ ในหมู่บ้าน เพื่อตรงไปชายหาดนิดหน่อย ก่อนเลี้ยวเข้าโรงเรียน ซึ่งเป็นจุดเริ่มและจุดเส้นชัย ตรงนี้เราเหลือเวลาเป็นชั่วโมง เลยบอกโอเน่นว่าไม่ต้องวิ่งแล้วเถอะ เหนื่อยแล้ว เหลืออีก 6 กิโลเอง (วิ่งมาแล้ว 20) เดินๆ เอาก็ถึง ยังไงๆ ก็เข้าเส้นชัยแน่นอน ตอนแรกนางไม่ยอม แต่ตะคริวเล่นงานพี่แกพอดี เลยต้องจำยอม 555

พอมาถึงชายหาดเห็นหลายคนวิ่งแซงหน้าเราไป ในใจก็คิดว่า เค้าคงอยากทำเวลาให้ดี เราไม่ต้องรีบก็ได้ เช็คใน google map เหลือไม่ถึงหนึ่งกิโล กับเวลา 30 นาที สบายมาก พอถึงจุดให้น้ำมีเจ้าหน้าที่บอกเราว่า “สู้ๆ นะคร้าบบ เหลืออีก 2.7 กิโล เท่านั้น!” เอ๊ะ ยังไง? เลี้ยวอีกนิดก็ถึงโรงเรียนแล้วหนิ พอวิ่งไปอีก เจอเจ้าหน้าที่อีกคนเดินสวนมา “เอ้าสู้ๆนะค้าา เหลือวิ่งบนหาดอีก 2 กิโลเท่านั้น!” อ้ะ อีกแล้ว! ก็วิ่งบนหาดมาแล้วนี่นา สงสัยพี่เค้ามั่ว…

พอเลี้ยวครั้งสุดท้ายเห็นรั้วโรงเรียนแล้ว ได้ยินเสียงเชียร์แล้ว ระยะทางก็ครบแล้ว แต่ไหงลูกศรให้เลี้ยวไปอีกทาง?!?!?

ซวยแล้ว! หรือเค้าให้วิ่งลงหาดด้านหลังโรงเรียน แล้วอ้อมขึ้นมาอีกทาง ตอนนี้สมองคำนวนเส้นทางใหม่เลยค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเส้นทางจะเพิ่มขึ้นมาแค่ไหน ในใจก็คิดว่า คุณหลอกดาว…ไหนว่า 26kg จุดนี้ต้องวิ่งเข้าไว้ เพราะความกลัว cut off เข้ามาหลอกหลอน จะมาตกม้าตายตอนจบไม่ได้นะ เราวิ่งนำโอเน่นที่ยังมีอาการตะคริว ไม่ใช่จะทิ้งแต่อยากเช็คว่าเราต้องวิ่งไกลแค่ไหน กับเวลาที่เหลืออยู่แค่เดินจะถึงมั้ย ตรงนี้เป็นโขดหินใหญ่ๆ ริมหาด ค่อนข้างอันตราย เรามองแต่พื้นไม่ได้มองข้างหน้าเลยโดนขอนไม้ผางเข้าให้เต็มหน้าผาก มึนเลยค่ะ ผ่านจุดนั้นมาก็เป็นทางขึ้นหลังโรงเรียนพอดี รอดไป สรุปว่าเกินมา 2 กิโล และเหลือเวลาอีกประมาณ 18 นาทีก่อน cut off

สำเร็จแล้วจ้า! ได้เสื้อ finisher มาอย่างภาคภูมิใจ พร้อมต้นขาที่ชอกช้ำ เล็บเท้าที่พังกว่าเดิม และรูบนหน้าผากอีกนิดหน่อย

การวิ่งครั้งนี้สอนให้รู้ว่า…

การซ้อม เป็นสิ่งสำคัญมาก แม้ใจเป็นนายร่างกายเป็นบ่าว ใจสู้แต่ใช่ว่าร่างกายจะไหวนะ ต้องเตรียมร่างกายให้ดีก่อน

การตั้งเป้าหมายเล็กๆ แบบ small wins ช่วยให้เราทำเป้าหมายใหญ่ๆ ให้สำเร็จได้ง่ายขึ้น ถ้าเราเงยหน้าดูยอดเขาแล้วถอดใจว่าเมื่อไหร่จะถึง มันก็คงไม่ถึงแล้วล่ะค่ะ ในทางกลับกัน ถ้าเราตั้งเป้าให้ง่ายขึ้น เช่น ไปให้ถึงต้นไม้นั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน ความรู้สึกดีที่เราไปถึงได้ จะช่วยให้เรามีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อ เพื่อพิชิตเป้าหมายถัดไป

ทุกๆ สนามมีเรื่องราวไม่คาดฝันเสมอ อย่าวางใจ อย่าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน เตรียมตัว ตื่นตัวอยู่ตลอด มีแผนสำรองอยู่เสมอ

จง enjoy กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น วิวข้างทาง มิตรภาพดีๆ ผู้คน เจ้าหน้าที่ที่คอยให้กำลังใจ บรรยากาศธรรมชาติ ความสดชื่นจากน้ำตก และเครื่องดื่มเกลือแร่เย็นๆ ระหว่างทาง โดยเฉพาะโค้กที่ยอมไม่กินตอนวิ่ง แล้วซัดคนเดียวหมดขวดลิตรหลังแข่ง โอ้ยย ฟินมากก ความสุขจริงๆก็ง่ายๆแค่นี้เอง

เส้นชัยเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ ความรู้สึกนี้มันช่างคุ้มค่าเหลือเกินกับความเหนื่อยล้า และการที่ต้องฟันฝ่าอะไรหลายๆอย่าง

เส้นชัยแต่ละคนไม่เท่ากัน จะ 5km 26km 38km 60km หรือ 100km ก็เปรียบเทียบกันไม่ได้ เหมือนกับที่เราไม่ควรเปรียบเทียบ ‘ความสำเร็จ’ ของเรากับใคร ให้เปรียบเทียบกับตัวเองเท่านั้น ว่าสู้เต็มที่แล้วยัง ดีขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า

จบเส้นชัยนี้ ก็ต้องมีเส้นชัยอื่นต่อไป อย่าหยุดฝัน อย่าหยุดเดิน อย่าหยุดอยู่กับความสุขที่เป็นอดีต ต้องก้าวต่อไป สู้ต่อไปนะคะ 🙂

#SamuiMonkeysTrail2020 #15Nov2020

วิ่งเทรลครั้งแรกในชีวิตกับระยะ 40 km

เหตุผลหลักๆ ที่ลงระยะไกลสุดของสนามนี้คือ ระยะอื่นเต็มหมดแล้ว เหลือแต่ 10km ที่ไม่มีเสื้อ finisher เพราะความงกเป็นเหตุ คิดว่าราคาต่างกันไม่กี่บาท วิ่ง 40km ได้เสื้อตั้งสองตัว คุ้มกว่ากันเยอะ (คิดง่ายๆ ว่าคงวิ่งเข้าเส้นชัยสินะ 555)

พอใกล้จะกดจอง เกิดหวั่นใจ จะไหวมั้ยวะ เกิดมาวิ่งแต่ฟันรัน 5km ที่ยิมก็วิ่งต่อเนื่องได้ไกลสุดแค่ 16km สองชั่วโมงติด น้ำหนักตัวก็เยอะ แต่พอเทรนเนอร์ผู้ร่วมชะตากรรมบอกว่า ไหวอยู่แล้วพี่ วิ่งเทรลสนุก ได้กินลมชมวิว พอเห็นเวลาคัดออฟ 9.30 hours โอ้โห นานจัง จะวิ่งสักขนาดไหนเชียว สัก 6 ชั่วโมงก็น่าจะจบ งั้นสรุปจองเลยก็แล้วกัน

เรามีเวลาเพียง 1 เดือนในการเตรียมตัว ทั้งๆ ที่มีเทรนเนอร์ที่วิ่งเก่ง แนะนำทุกอย่างแล้ว ก็เหมือนกับเราไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ วิ่งต่อเนื่องได้แค่ 17km มากขึ้นมาหน่อยนึง ช่วงหลังๆ ต้องปรับปรุงยิม ทำนู่นทำนี่ เลยไม่ได้ซ้อมมากเท่าที่ควร ก่อนวันแข่งหนึ่งสัปดาห์ก็มีอาการประหลาด ปวดคอ ปวดหลัง แบบทรมานมากอีก นี่แหละข้ออ้างอย่างดีที่เราไม่ต้องซ้อมวิ่งสินะ 😀

ในที่สุดวันแข่งขันก็มาถึง ทีมฟิตแลบหาดใหญ่ แยกกันวิ่งคนละบล็อก เทรนเนอร์นำไปก่อน เราและคุณโอที่วิ่งด้วยกัน เพื่อนอ้อมและพี่นาอยู่บล็อกถัดไป วิ่งไปแปบเดียวเพื่อนอ้อมก็แซงไปฉิวค่ะ นางบอกว่าไม่ได้ซ้อมเลยแต่เห็นได้ชัดว่าฟิตกว่าเราเยอะ 555 

ทางช่วงแรกๆ ไม่มีอะไรมาก ก็เป็นการวิ่งในป่าปาล์ม ป่ายาง ขึ้นๆ ลงๆ ควน จนเริ่มไปเจอโคลนนี่แหละ รู้สึกเสียดายรองเท้าที่ซื้อมาแพงมาก 55 เราต้องรีบทำใจยอมรับและก้าวต่อไป แต่จริงๆแล้วสิ่งที่หยุดเราคือการวิ่งลงเนิน บอกเลยว่ากลัวมาก กลัวลื่น บวกกับน้ำหนักที่เยอะไปหน่อย ลื่นธรรมดาอาจจะเป็นเจ็บปวดกว่าปกติ โอเน่นก็พร่ำบอกว่า trust your shoes! เราก็ยังลงช้าๆ จนพี่ข้างหลังบอกว่า ‘รองเท้ามีดอกคับน้อง’ เออจุกไปแปบ 555

จนเมื่อเข้ากิโลเมตรที่ 15 พลังเริ่มหมด เวลาก็ใช้เยอะเกินไป เราก็ไม่เตรียมเครื่องดื่มให้พลังอะไรทั้งนั้น กรดแลคติกเริ่มจู่โจม ขาทั้งสองแทบยกไม่ไหวแล้ว ช่วงนี้ป้อแป้มาก นึกถึงตอนที่เทรนเนอร์บอกว่าให้เตรียม power gel ไปด้วย แต่เราก็ละเลย พอได้เครื่องดื่มเกลือแร่ระหว่างทางเลยค่อยยังชั่ว ยังกัดฟันต่อไปได้ จนพอเข้ากิโลเมตรที่ 25 พี่ๆ หลายคนที่เกาะกลุ่มกันมา ผลัดกันแซง ผลัดกันตาม จนเค้าสลัดเราหลุดจริงๆ ตอนที่เราอารมณ์เสีย พักเปลี่ยนถุงเท้า เพราะโอเน่นเอาน้ำในลำธารมาล้างขาให้ แล้วน้ำก็เข้าไปในรองเท้าหมดเลย เราโกรธมากเลยเพราะวิ่งไม่สะดวก แต่จริงๆ ไม่จำเป็นต้องหยุดเปลี่ยนถุงเท้าเลยด้วยซ้ำ เพราะอีกไม่กี่กิโลเมตรเราก็ต้องลุยน้ำ ผ่านน้ำตกอยู่ดี … 555

เมื่อกิโลเมตรที่ 32 ผ่านไป เราต้องวิ่งผ่านถ้ำ ผ่านน้ำตก และป่าดงดิบอีกรอบ ในใจก็นึกถึงเวลาคัดออฟที่ 7.30 ชั่วโมง ณ กิโลเมตรที่ 38 เอ๊ะจะทันมั้ยวะ นี่ก็ใกล้ชั่วโมงที่เจ็ดแล้วเหลืออีกหลายอยู่นะ คำนวนในใจคือต้องวิ่งตลอดเวลาจนถึงเป้าหมาย แต่คือแบบ เหนื่อยว่ะ เลยบอกโอเน่นว่า ทำเต็มที่แล้วกัน เราช้ากันเองตอนต้นๆ ตอนนี้จะให้เร่งก็ไม่รอดแล้ว พอไปถึงที่กิโลเมตรที่ 38 เค้าเริ่มเก็บโต๊ะกันแล้ว และเจ้าหน้าที่ก็บอกเราว่า โดน DNF ตอนนั้นรู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ทำไม่สำเร็จ เหลือบดูเวลาเรามาถึงที่นี่ตอน 7.41 คือช้าไป 11 นาที เห้อ..

เราเดินคอตกไปกับน้องสตาฟ เพื่อรับเหรียญและถุงอาหาร แล้วเราก็เดินเรื่อยๆตามทางที่เค้าจัดงาน แต่อยู่ๆ น้องสตาฟก็เรียกให้เราไปรับเสื้อ finisher เฉยเลย เราก็รับมาแบบงงๆ ถ้าตามความคุ้มค่า โอเคได้ตามเป้า 555 แต่พูดถึงความรู้สึกตอนนั้นก็ fail อยู่ สักพักก็เจอเทรนเนอร์ที่ยังดูสภาพดี พร้อมกับชูถ้วยรางวัลอันดับหนึ่ง โอ้วแม่เจ้า สุดยอดมากกก น้องก็บอกว่าดีแล้วพี่ ที่ไม่ต้องขึ้นเขานั้น พี่ต้องแย่แน่ๆ เพราะเป็นสองกิโลสุดท้ายที่โหดสุด ทางขึ้นว่ายากแล้วตอนลงไม่รู้จะลงยังไง ต้องไถลลงมา อะไรประมาณนี้ ส่วนพี่นาก็โดนเทรนเนอร์เรียกให้กลับตั้งแต่กิโลเมตรที่ 28 เรากะโอเน่นน่ะหรือ ไม่มีใครโทรมาเตือนเพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ 555 ทีนี้ก็เหลือแต่เพื่อนอ้อมที่ไม่รู้อยู่ไหน เรารอจนเกือบจะครบเวลาคัดออฟที่ 9.30 แล้ว ในที่สุดก็เห็นเพื่อนอ้อมวิ่งมาแบบหมดแรง หยุดที่เส้นชัยแบบงงๆ หน้าแบบเหนื่อยหมดแรงสุดๆ น่าเห็นดูมาก แต่ก็ต้องยกนิ้วให้เพราะผ่านเข้าเส้นชัยเป็นคนเกือบสุดท้าย สุดยอดจริงๆ 

เรากลับโรงแรมในสภาพอิดโรยสุดๆ ขาคือใช้การไม่ได้แล้ว นิ้วเท้าเจ็บปวดระบม หัวเข่าก็อกแก็ก เดินกะเผลกๆ แต่ก็รู้สึกติดใจการวิ่งเทรลเข้าแล้วสิ เทรลหน้าต้องแก้ตัว ไหนๆ พร็อบก็พร้อมแล้ว ขอลดน้ำหนักสักหน่อย เทรลรอบหน้าต้อง reach finish line ให้ได้ค่ะ 🙂

#KrabiInternationalTrail2020 #6Sep2020