มูซาชิ เป็นหนึ่งในหนังสือเพียงไม่กี่เล่มที่อ่านรวดเดียวเกือบจบ
ที่อ่านไม่จบในคราเดียว เพราะมันหนากว่า 700 หน้า และได้เริ่มอ่านในวันสุดท้ายตอนไปเที่ยวสมุยแล้วค่ะ ตรงนี้เป็นข้อดีที่ว่า เราได้ชิลล์กับสมุยตลอดทั้งวีคเต็มอิ่มแล้ว ถ้าได้เริ่มอ่านวันแรกๆ คาดว่า อาจจะติดหนังสือมากกว่าติดบรรยากาศสมุยเป็นแน่
เหตุผลที่หยิบหนังสือเล่มนี้ เป็นเพราะสำนักพิมพ์ openbooks ที่เราชอบ เรื่องอื่นทั้งผู้เขียน ทั้งประวัติของมูซาชิ ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยค่ะ แต่อาจจะหยิบเพราะดีไซน์ปกและการแนะนำของสำนักพิมพ์ตอนเดินในงานหนังสือก็เป็นได้ แม้ว่าราคาก็เอาเรื่องอยู่เพราะความหนานี่แหละ
ดองไว้กี่ปีมิทราบ แต่เรื่องราวในหนังสือ ประกอบกับสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นไร้กาลเวลามาก ไม่รู้สึกเสียดายเงินเลยสักนิด เรียกว่า พออ่านเสร็จก็ขอมาเขียนรีวิวสักหน่อยเลยค่ะ เพราะยังเต็มอิ่มกับความรู้สึกอยู่
มูซาชิ เป็นซามูไรที่มีชื่อเสียงด้านวิชาดาบ และด้านปัญญามากๆ โดยเขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดช่วงชีวิตของเขาเอาไว้ใน คัมภีร์ห้าห่วง ซึ่งผู้เขียนเองได้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาให้เป็นลักษณะนิยายอิงประวัติศาสตร์อีกทีหนึ่ง ชื่อเต็มว่า มูซาชิฉบับท่าพระจันทร์ Musashi: Sword of Mindfulness อ่านแล้วเพลินมากมาย สนุกดีค่ะ
โดยในเนื้อหา เป็นการบอกเล่าชีวิตของมูซาชิ ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นทหารแพ้ศึก ไปจนถึงตอนพิชิตนักดาบฝ่ายตรงข้าม โคยิโร่ ซึ่งเหมือนเป็นจุดพีคของชีวิตมูซาชิ เร้าใจสุดๆ แล้วก็จบดื้อๆ 555 ทำให้เราต้องจินตนาการต่อไปเองว่า ชีวิตของเขาหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะกับ โอซือ ผู้หญิงที่เป็นที่รักของเขา
ความน่าสนใจของมูซาชิ ไม่ใช่แค่ความสามารถในด้านวิชาดาบที่เก่งกาจ หรือบุคคลิกภาพที่ดูเป็นคนคูลๆ ตามแบบซามูไรในหนัง แต่มูซาชิยังใช้ดาบนี่แหละ ในการฝึกใจและกายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรียกว่า เข้าถึงความรู้แจ้ง เข้าถึงสติ เข้าถึงตัวเองและสรรพสิ่ง ด้วยวิชาดาบของตน
ในขณะที่ มูซาชิ เป็นซามูไรที่มีตัวตนจริงๆ มีกิเลส มีโทสะ มีความรู้สึกเหมือนกับเราๆนี่แหละ อาจมีพลั้งพลาดให้ศัตรูบ้าง รู้ไม่เท่าทันคนอื่นบ้าง แต่ที่สำคัญคือ การพลาดพลั้งให้กับศัตรูในจิตใจของตัวเอง ซึ่งมีบ่อยมาก และทำให้เราเห็นว่าศัตรูที่แท้จริงที่สร้างผลกระทบได้มากที่สุด ก็คือตัวเราเอง ไม่ว่าจะมูซาชิ หรือจะใครก็ตาม
ในเนื้อหาอาจเป็นนิยายที่แต่งเติมให้มูซาชิดูเท่ ดูเก่งกว่าความเป็นจริงหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ แต่เรารู้สึกว่าผู้เขียนบรรจงถ่ายทอดได้ดีมาก มีความสมดุลระหว่างการบรรยายเรื่องราวโดยทั่วไปที่สนุกสนาน เพลินไปกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แล้วพาลให้นึกถึงเมืองต่างๆ ที่เราเคยไปเยือน คิดถึงญี่ปุ่นมากค่ะ กับในส่วนความคิดของมูซาชิที่ลึกซึ้ง กินใจ กระแทกกระทั้น สะท้อนให้เราต้องคิดตามอย่างกระหายใคร่รู้ สะใจดีค่ะ 555
ตอนหนึ่งที่ชอบ เมื่อมูซาชิสอนเหล่าชาวบ้านให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับโจรป่า โดยสอนใช้รู้จักเปลี่ยน ดาบ เสียม เป็นอาวุธ แล้วเก็บรวบรวมอาวุธของโจรไว้ป้องกันหมู่บ้านในอนาคต และสอนให้ชาวบ้านเห็นความได้เปรียบในกลุ่มของตน พร้อมกับสอนให้รู้จักสู้ ไม่ยอมอยู่ฝ่ายเดียว ตรงนี้สะท้อนให้เราเห็นว่า ปัญหาก็เหมือนกับโจรป่า ถ้าเรายอมให้ปัญหามาทำร้ายเรา เราก็จะเจ็บปวดอยู่ร่ำไป สู้ให้เรามองปัญหาในมุมที่แตกต่าง แล้วค่อยๆแก้ไปตามความสามารถของเรา ยอมรับและเผชิญหน้ากับมัน อาจจะต้องเจ็บบ้าง แต่ปัญหาจะทำให้เราแกร่งขึ้น แล้วปัญหานั้นๆ จะไม่สามารถทำร้ายเราได้อีก…
ตอนสุดท้ายในการประลองกับ โคจิโร่ นักดาบฝีมือไร้เทียมทานของยุทธภพ และเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกับมูซาชิ ณ ขณะนั้น เป็นหนึ่งในตอนที่ประทับใจ เพราะเราได้ติดตามชีวิตของทั้งสองมาตั้งแต่ต้น พอกำลังจะเริ่มประลอง มูซาชิก็บอกโคยิโร่ว่า เจ้าแพ้แล้ว! นั่นยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามโมโหและเสียสมาธิ พอเริ่มได้ดาบแรก มูซาชิซึ่งเตรียมมาเพียงไม้พายเรือ ที่ยาวกว่าความยาวของดาบโคยิโร่ ก็สร้างความได้เปรียบและพิชิตคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ เหล่านี้เพียงเพราะการเตรียมตัวมาอย่างดี การวางแผนที่รอบคอบ ความสุขุมมีสมาธิ และการเข้าใจถึงกระบวนท่าของดาบที่ทะลุปรุโปร่งของมูซาชินั่นเอง
มูซาชิ เป็นเหมือนตัวแทนของมนุษย์ธรรมดาที่สามารถพัฒนาให้อัจฉริยะได้ โดยผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจัง และผ่านความเข้าใจในเรื่องที่ตนถนัดอย่างถ่องแท้ ตกผลึก แล้วสามารถประยุกต์ให้มันเป็นแก่นในการดำเนินชีวิตได้อย่างลงตัว เป็นตัวอย่างให้เรานำไปใช้เพื่อพัฒนาชีวิตของเราทั้งทางกายและทางจิตวิญญาณได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ทำให้เราเห็นประสิทธิภาพของมนุษย์ เห็นคุณค่าในการใช้ชีวิต เห็นความหวังในปัญหาที่มืดมิด อ่านจบแล้วรู้สึกว่าพลังชีวิตเพิ่มมาโขเลยล่ะค่ะ 🙂