ขออนุญาติรำลึกถึงความหลังครั้งได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของประเทศอินโดนีเซีย ไม่ได้เพิ่งแพลนไปแต่อย่างใดเพราะ ช่วงนี้งานยุ่งมากค่ะ แล้วก็บอกเพื่อนๆไว้ด้วยว่า ถ้าไปเที่ยวไหนให้ด่า (ฮาๆ) เพราะเค้าเริ่มจะหมดความเชื่อมั่น เมื่อเราพร่ำบอกว่าไม่ไปไหนแล้วๆ แต่อีกไม่กี่สัปดาห์ไปโผล่ที่นู่นที่นี่….ครั้งนี้นึกครึ้มอยากจะเขียนเรื่องเที่ยวบ้าง เพราะเขียนแต่รีวิวหนังสือมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เห็นแล้วเบื๊อเบื่อ…
ความคิดในการไปบาหลีเป็นส่ิงที่ค่อนข้างไกลตัวด้วยราคาตั๋วเครื่องบิน แต่เมื่อมีการแข่งขันมากขึ้น คนที่ได้รับประโยชน์คือเราๆค่ะ อิอิ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้วค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่าเพิ่งเรียนจบมหาลัย ก็เลยอยากเลียนแบบฝรั่ง ขอหยุดพักแล้วทำเรื่องไร้สาระสักปีนึง จากนั้นค่อยว่ากันใหม่ว่าอยากทำอะไรต่อ หนึ่งในกิจกรรมลั้นลานั้นคือการไปเที่ยวบาหลีกับพี่ชาย แล้วก็ไปเช่ารถขับด้วยนะเออ
แนะนำเลยนะคะสำหรับการเที่ยวแบบสมบุกสมบัน ทุกซอกทุกมุม ทุกรสชาติทุกอารมณ์ และที่สำคัญคือสวยและประทับใจมากๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เราเช่ารถขับในต่างประเทศ สมัยนั้นต้องเตรียมใบขับขี่ต่างประเทศด้วย แต่ไม่รู้เดี๋ยวนี้ยังต้้องใช้อยู่รึเปล่า เท่านั้นยังไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับที่ว่า จะมีคนเอารถมาส่งจริงๆเหรอทั้งๆที่ยังไม่จ่ายตัง (ฮาๆ)
ในที่สุดเราก็ได้เจอรถคู่ใจ จำได้ว่าเป็นรถซูซูกิแบบเป็นแวนคันเล็กๆ ดูใหญ่เกินกว่าจะใช้กันแค่สองคน แต่ไม่เป็นไร เอาไว้ตั้งกระเป๋าได้ เจ้าหน้าที่ก็ใจดี แถมแผนที่มาให้ด้วย เปิดดูแล้วเอ่อ เห็นถนนหลักๆไม่กี่สาย ก็คิดเองว่าแผนที่คงไม่ละเอียดมั้ง
ส่ิงที่ทำผิดพลาดที่สุดในทริปคือการจองที่พักล่วงหน้าในคืนแรกค่ะ! เอ๊ะเป็นไปได้ไง (ฮาๆ) ปกติเราไม่เคยไม่จองที่พักมาก่อน เพราะกลัวพลาด กลัวเต็มไรงี้ แต่ครั้งนี้ที่รู้สึกพลาด เพราะเราขับรถวนหาโรงแรมอยู่เป็นชั่วโมง กว่าจะเจอ ก็ใน Kuta มันเป็นแหล่งท่องเที่ยวอ่ะ ซอยก็เยอะไปหมด ตอนนั้นก็หาพิกัดโรงแรมได้ไม่ง่ายเหมือนในปัจจุบันที่เค้าใช้ google map กันเกลื่อน ..อืม เข้าใจตรงกันนะ 🙂
วันแรกรู้สึกดีจริงๆ อารมณ์แบบบาหลีจริงๆ เพราะการตกแต่งของโรงแรมเป็นหลัก ประตูทางเข้า สวนในโรงแรม มันคือสไตล์บาหลีมากๆ อาหารก็กินได้ อร่อยดี แต่เราก็ไม่มีโอกาสเดินเล่นในเมืองนี้เท่าไหร่นัก เพราะหาโรงแรมนานเกิน (ฮาๆ) แต่ก่อนที่ตะวันจะลับฟ้า เราก็ขับรถมั่วๆไปที่ Tanah Lot จนได้แฮะ 🙂 มันคือวัดในทะเลชื่อดังที่เราไม่รู้จัก (ฮาๆ) แต่พอเห็นของจริงแล้วมันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นในรูปภาพข้างฝาบ้านใครสักคน สวยดีค่ะ ถ้าน้ำทะเลไม่ลงมากเกินไปจนกลายเป็นวัดบนโขดหิน 🙂
เช้าถัดมาเราก็เลยวางแผนกันจริงจังค่ะ เพราะนับจากนี้ไป จะไม่มีการจองอะไรล่วงหน้าอีกแล้ว จะไปไหนยังไงก็ได้แต่ต้องคุ้มค่าที่สุด คราวนี้แหละค่ะ ดิชั้นจึงได้ใช้ความสามารถในการวางแผนรังสรรค์ทริปนี้ขึ้นมาค่ะ (เว่อร์) คร่าวๆคือเราจะขับแค่ช่วงกลางเกาะไม่ฉีกไปซ้ายสุดหรือขวาสุด เพราะเกาะนี้กว้างมาก แต่จากบนลงล่างแค่ประมาณร้อยกิโล น่าจะไหว ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวหลักก็อยู่ในบริเวณกลางเกาะ เราจึงวางแผนขับเป็นวงกลมจากใต้ขึ้นเหนือแล้ววนกลับลงมาอีกทางนึง สิ่งหนึ่งที่เห็นแจ่มชัดตอนแพลนทริปคือทะเลสาบบนภูเขา Batur อยู่ฝั่งขวาๆ และทะเลสาบบนภูเขาเล็กๆสามที่ติดกัน ชื่อ Tamblingan, Buyan และ Beratan ที่อยู่ฝั่งซ้าย ไอความรู้สึกที่เห็นภูมิประเทศแล้วอยากไปให้เห็นกับตาจึงกลับมา คิดเอาไว้ในใจเงียบๆ ไม่บอกพี่ชายว่าดิชั้นจะวางเส้นทางให้แวะให้ได้ แค่แฉลบผ่านก็ยังดี 🙂
เราเริ่มจากด้านขวาของเกาะก่อน ผ่านเมืองหลวงของเกาะนี้ Denpasar ขับเลียบทะเลที่มีชายหาดสีดำเพราะลาวา (ว้าว!) มีหินสวยๆ แล้วก็มีคนโก้งโค้งเก็บหินขายเป็นระยะๆ จากนั้นไปต่อที่เมือง Besakih ที่มีวัดที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของเกาะ อยู่บนเชิงภูเขา Agung ที่สูงที่สุดของเกาะ (ที่สุดๆทั้งนั้น) ระหว่างทางไปเราก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าขับรถที่นี่มันไม่ง่ายนะ เพราะถนนเส้นหลักคือถนนที่รถสวนกัน ไม่ใช่สองเลนสี่เลนแต่อย่างใด แตกต่างมากๆกับถนนในเมืองหลวงเพราะจะเป็นถนนแบบที่เราเข้าใจ คือถนนกว้างๆปกติ แต่พอหลุดเขตเมืองหลวงปุ๊บ อ่าวเฮ้ย เหมือนขับอยู่บนถนนในชนบทบ้านเรา เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะขับ camry หรือ benz เพราะจะเสี่ยงต่อการโดนเชี่ยวชน แต่เดี๋ยวนี้เค้าจะขยายถนนแล้วยังก็ไม่รู้
จำได้ว่าเราแวะกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางในเมืองๆนึงระหว่างทางไปวัด ภาษาอังกฤษไม่กระดิกค่ะ ใช้แต่ภาษามือ ชี้ๆไป ไม่รู้กินอะไรเข้าไปบ้างแต่อร่อยดี (ฮาๆ) เห็นเด็กเพิ่งเลิกเรียนน่ารักดี เพราะชุดนักเรียนเค้าค่อนข้างเก๋ทีเดียวค่ะ ลวดลายบาหลี เดินเรียงแถวกลับบ้านกัน 🙂 ความรู้สึกถึงสิ่งมหัศจรรย์เบื้องหน้ามันสัมผัสได้จริงๆค่ะ เราขับไต่เขาค่อยๆชันขึ้นๆเรื่อยๆ จนอากาศร้อนอบอ้าวเหมือนบ้านเราเริ่มหายไป ตอนนั้นรู้แค่ว่าวัดนี้อยู่บนภูเขาที่สูงที่สุดของบาหลี แต่ไม่คิดว่ามันจะสูงจนอากาศเย็นซะงั้น 🙂
หลังจากที่เราเริ่มทริปด้วยการไปวัดแห่งนี้แล้ว มันรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ เหมือนเราสร้างกำลังใจให้ตัวเองให้สามารถขับรถเที่ยวจบทริปอย่างมีความสุข แล้ววัดนี้ก็สวยมากๆ ด้วย ตื่นตาตื่นใจสุดๆ ไปเห็นเค้าทำพิธีอะไรด้วยซักอย่าง อันที่จริง เราได้เห็นเค้าทำพิธีกรรมแบบต่างๆกันตลอดทางและตลอดทริป เห็นจนชินเลยเพราะเห็นบ่อยจริงๆ ใส่ชุดดั้งเดิม บ้างเดินแห่ บ้างเต้นรำ บ้างก็มีแบกเกี้ยวอะไรด้วย มันรู้สึกดีเพราะว่า เราเห็นว่าอย่างน้อยเค้าก็ยังเคารพและยังอนุรักษ์ประเพณีที่ดีงามเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง
จากนั้นไม่นานเราก็ถึงทะเลสาบ Batur ซึ่งมีภูเขาชื่อเดียวกันเป็นฉากหลัง ที่เมือง Kintamani ตอนแรกบอกไม่ถูกว่าเราอยู่ที่ไหนกัน เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าคือความงดงามของธรรมชาติแบบไม่ปรุงแต่ง น้ำสีฟ้า ภูเขาเขียวๆเทาๆเยอะๆ เหมือนอยู่ชนบทในยุโรปอะไรยังงั้นค่ะเพราะอากาศก็ยังเย็นอยู่ คิดดูขับรถอยู่ในป่าดีๆ ก็โผล่มาที่นี่แบบไม่ทันตั้งตัว ภาพความสวยของมันจึงกระแทกเราอย่างจังอยากมองมันนานๆ ทำให้ต้องหาทางสัมผัสมันแบบใกล้ชิด งั้นก็พักมันที่นี่ซะเลยแล้วกัน
เราไม่มองที่พักใดๆเลยถ้าไม่ติดกับทะเลสาบ แพงแค่ไหนก็จะจ่าย เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างเลยอ่ะ (ฮาๆ) จำได้ว่าจ่ายไป 750,000 รูเปีย!! อย่าตกใจค่ะ ราคาตอนนั้นประมาณสามพันบาท แต่เป็นห้องถูกที่สุด อยู่ใต้ถุนรูหนูมากๆ แค่จะแอ๊บว่ามาพักที่นี่ก็พอค่ะ อย่าไปสนใจอย่างอื่น (ฮาๆ)
ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวเลยล่ะค่ะ เจ้าหน้าที่ที่นั่นไม่รู้นึกอะไรชวนเราคุยซะยาว ไม่พอพาเราไปกิน Arak นั่นคือเหล้าที่หมักจากข้าวแบบชาวบ้านๆเลย เหมือนกับไปกินเหล้าขาวที่ชาวบ้านหมักเองอ่ะค่ะ ช่วยบรรเทาหนาวได้บ้าง มึนพอดูแต่รสชาติแรงเกินรับไม่ด้าายย…. (ฮาๆ)
เช้านั้นรีบตื่นมาดูวิว ขอบอกว่าไม่ผิดหวังเลยเพราะมันสวยมากจริงๆ แล้วเราก็ได้กินอาหารเช้าแบบบาหลีท่ามกลางวิวแบบนั้น โอ่ย ฟินค่ะ ไม่รู้ว่านั่งมองอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน แต่ไม่สนใจค่ะก็มันมีความสุข 🙂
เจ้าหน้าที่คนเมื่อคืนก็มาพาเราไปเที่ยวซะงั้น คุยไปคุยมาเลยเพิ่งรู้ว่า Mt.Batur ที่เห็นคือภูเขาไฟ และยังไม่ดับนะ เอ้ย ทะเลสาบนี้คงเป็นผลจากการระเบิดสินะ เออตื่นเต้นดี (ฮาๆ) แล้วเค้าก็พาไปดูร่องรอยการระเบิดในที่ที่เคยเป็นหมู่บ้านด้วย หลอนดีค่ะ (ฮาๆ) พาไปชมวัดริมทะเลสาบ ไม่พอนางก็พาเราไปดูไร่โกโก้ ไร่กาแฟขี้ชะมดด้วย ใจดีมากๆ
แล้วเราก็เดินทางต่อค่ะ จุดมุ่งหมายคือวัด Ulun Danu ที่อยู่ในทะเลสาบ Beratan ที่ Bedugul ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าทำไมเราไม่ไปเหนือสุดติดทะเลที่ Lovina ก่อน เพราะมันมีทางไปชัดเจน แต่ดูคดเคี้ยวอ้อมเขามากไปมั้ง อาจจะเป็นเพราะความมั่นใจในเส้นทางกระมัง เห็นว่าไม่เจออุปสรรคอะไร เห็นเส้นทางใน google map (สมัยนั้น) แล้วคิดว่าจะมีทางไปจริงๆ เราเลยตัดกลางเกาะค่ะ จากทะเลสาบนึงไปอีกฝั่งนึง เอาจริงๆมันคือจากเขาลูกนึงไปอีกลูกนึง ผ่านทางถนนที่เป็นแค่ดินลูกรัง และเพิ่มความยากเข้าไปอีกคือฝนตกหนักมากๆๆๆๆๆๆ โอ่ยสะบักสะบอมมากๆ กว่าจะมาถึงจุดหมาย
เมืองนี้มีคนเยอะหน่อย มีตลาดนัดด้วย สิ่งที่เราประทับใจไม่ใช่วัดในทะเลสาบชื่อดัง แต่เป็นข้าวหน้าไก่แล้วมีจิ้มเข้มข้นๆบางอย่าง ซึ่งคงไม่ใช่ Nasi Ayam หรือข้าวหน้าไก่ แต่เป็นข้าวไก่อะไรบางอย่างนี่ล่ะค่ะ มันอร่อยมากๆ แม้ร้านจะดูซกมกไปนิดแต่ให้อภัยได้ 🙂 แถวๆนี้หาที่พักไม่ยาก จึงได้ที่ถูกและดี เย็นนั้นเราแวะไปกินข้าวในเมืองเค้านั่งผิงไฟกันด้วย ฟินดีค่ะ ชอบอากาศเย็นๆแล้วต้องผิงไฟ ไม่ใช่อะไรเพราะบ้านเราไม่มีไง (ฮาๆ)เช้าอีกวันเราก็เที่ยวไปเรื่อยๆแถวนั้นค่ะ เพราะเค้ามีตั้งสามทะเลสาบ แล้วแต่ละที่ก็สวยมากๆเหมือนอยู่ในชนบทยุโรปจริงๆ แต่ถามว่าเหมือนยังไงคงตอบไม่ได้ค่ะ เพราะไม่เคยไป (ฮาๆ) แถวๆนี้เค้าจะปลูกดอกไฮเดรนเยียกันเยอะมากๆ เพราะอากาศคงเย็นตลอด
เราให้รถได้พักแค่ไม่กี่วัน เช้าวันถัดมาก็เลยจะไปที่เมือง Lovina ซึ่งเป็นเมืองหลักอยู่ติดทะเลด้านบนสุดของเกาะค่ะ แต่หลังจากที่หายซ่าไปเพราะดันขับรถฝ่าพงไพรพนาระหว่างภูเขาท่ามกลางพายุฝน วันนี้เราก็ท้าทายกันอีกครั้งค่ะ คิดว่าคนเราจะโชคร้ายซ้ำๆได้อย่างไร ก็เลยเลือกเส้นทางลัดเพื่อจะไปเมืองดังกล่าว ขอบอกว่าอย่าได้ริอาจทำอีกนะคะ เพราะมันคือการขับฝ่าไร่ส้มสุดลูกหูลูกตา ขับเข้าไปในหมู่บ้าน และพื้นที่ห่างไกลความเจริญ นั่นแปลว่ามันเป็นทางที่ไม่ใช่ทางรถผ่านค่ะ แต่ไว้สำหรับมอเตอร์ไซค์ คือเมื่อก่อนรถอาจจะผ่านได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ สภาพคือรัฐไม่เคยเข้ามาดูเลยมั้งคะ สงสารรถมากๆ ช่วงล่างกระแทกแรงๆไม่รู้กี่ครั้ง เพราะหลุมแต่ละจุดนี้คือเหมือนขุดบ่อเลี้ยงปลาอ่ะค่ะ ถ้าเป็นเราขับคือคงกลับทางเดิมไปแล้ว แต่คุณพี่เค้าไม่สนใจค่ะ ลุยไปแบบเรานิใจแป้วกลัวรถพังมากๆ
เมือง Lovina มีจุดเด่นคือให้นักท่องเที่ยวนักเรือออกไปดูโลมา หรือมาดำน้ำกันอะไรประมาณนี้ ทะเลก็สวยดีค่ะ เราได้เดินตลาดสด เห็นเค้าขายดอกไม้กันเยอะมากๆ เพราะเป็นหนึ่งในเครื่องบูชา ที่นี่เค้าจะพับกระทงแล้วใส่ดอกไม้หลายๆแบบ แล้วใส่อะไรอีกก็ไม่รู้นะ แต่จะไปตั้งตามที่ต่างๆ เพื่อเป็นการเคารพสิ่งนั้นๆ ในรถที่เราขับก็มีค่ะ คืนนี้เราได้พักผ่อนริมทะเล นั่งชิว ซึ่งจะดีมากกว่านี้ถ้าไม่ได้มากับพี่ชายแต่มาสวีท (ฮาๆ แล้วให้มาสวีทกับใครเนี่ย?)
เช้าถัดมาเราไปวัดไทยกันค่ะ อากาศนิร้อนซะ ต่างกับบนเขาที่เห็นลิบๆแบบลิบลับ เออภูเขามันคงสูงมากจริงๆจนอากาศเปลี่ยน ช่างเป็นเกาะที่หลากหลายอะไรเช่นนี้ (คิดกับตัวเอง) จากนั้นเราก็ไป Ubud โดยการกลับเส้นทางหลักเพราะเข็ดขยาดแล้ว ซึ่งทางก็ดีมากๆ (ฮาๆ) รู้งี้น่าจะมาทางปกติเนอะ (เหอๆ) ระหว่างทางได้เห็นนาขั้นบันไดชื่อดังของที่นี่ สวยและเป็นระเบียบมาก ผ่านทะเลสาบทั้งสามอีกครั้ง รับอากาศเย็นอีกสักประเดี๋ยวก่อนจะไป Ubud 🙂
ถึง Ubud ก็เย็นมากๆแล้วค่ะ วันนั้นเป็นวันหยุดด้วย แล้วเมืองนี้ก็ดังในหมู่นักท่องเที่ยวมากๆ เราจึงเจอเข้ากับปรากฏการที่พักเต็ม…ถามที่ไหนก็เต็ม เอ่อ ยังมีนักท่องเที่ยวหาที่พักอยู่เลยค่ะ เราก็หาอยู่ ต้องรีบแล้วค่ะ เผื่อยังพอมี ด้วยความโชคดีหรืออย่างไร ไปเจอโรงแรมนึงในซอยหลีบของ Ubud จำได้แม่นว่าชื่อ Nicks Hidden เออ หายาก สมชื่อจริงๆค่ะไม่รู้เลยว่ามีโรงแรม เหมือนเพิ่งถมนาเพื่อสร้างเลยนะเนี่ย
ที่ Ubud รู้สึกว่าความสุขมากค่ะ ที่นี่มีคนเยอะ คนก็ใจดี เค้าจะเป็นเมืองที่รณรงค์เรื่องรักษ์โลก กินอาหารเพื่อสุขภาพกัน เก๋ดีค่ะ เรื่องการตกแต่งสไตล์บาหลีไม่ต้องพูดถึง ฝรั่งคงชอบเมืองนี้กันนะ มีทั้งของเก่า ของใหม่ ความเจริญ ความดั้งเดิม อยู่ร่วมกันได้ดีมาก อีกอย่าง เราได้ช้อปปิ้งกันสนุกสนาน แล้วเป็นครั้งแรกที่ได้ถือเงินล้าน! (ฮาๆ) ไม่ได้รวยหรอกค่ะ เพราะข้าวผัดจานนึงก็ 90,000 รูเปียแล้ว แปปเดียวเงินล้านของเราจึงหายไป 😦
เช้าวันถัดไปฝนเพิ่งขาดเม็ด ดิชั้นตื่นเพราะได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยๆจากนาขั้นบันได เหมือนนอนกลางนาอ่ะค่ะ เสียงดังฟังชัด และไพเราะมากๆ มโนอีกแล้วถ้ามาสวีทคงฟิน (ฮาๆ) ตลกด้วเอง (ขอฮาอีกรอบ :D) แนะนำเลยค่ะใครจะมาฮันนีมูน ให้มาตอนหน้าฝน หาโรงแรมกลางนาที่เมือง Ubud คุณจะมีความสุขค่ะ 😀
วันนี้หลังจากที่เที่ยวใน Ubud ทั้งวันจนอิ่มแล้ว เราก็กลับเข้าเมืองหลวงเพื่อหาที่พัก เตรียมตัวขึ้นเครื่องในวันรุ่งขึ้น เย็นนั้นยังคิดว่ามีพลังเหลือค่ะ พอเราหาที่พักได้แล้ว ก็เลยขับรถไปที่วัด Ulu Watu ที่อยู่ใต้สุดของเกาะ เป็นวัดที่อยู่ริมหน้าผา สวยอ่ะ สวยจริงๆ ถ้าไม่มาคงจะเสียใจ ก่อนกลับดิชั้นบังเอิญเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายบอกทางที่อยู่หน้าทางออกจากวัดก็รู้สึกคุ้นมาก ป้ายนั้นเขียนว่า…
-Ubud 44 KM
-Tanah Lot 45 KM
-Bedugul 71 KM
-Besakih 77 KM
-Lovina 115 KM
-Ulu Watu 19 KM
คุ้นๆเหมือนเรามั้ย? 🙂