One Plus One Equals Three | Dave Trott
ติดตามหนังสือเล่มนี้มาจาก Podcast ของอาจารย์นพดลและคุณรวิศเลยค่ะ (และคงมีอีกหลายๆ เล่มที่ได้ฟังมาจากทั้งสองท่านนี้) ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่เคยผิดหวัง อาจเป็นเพราะชอบอะไรคล้ายๆ กัน 555 มโนไปไกล
Dave Trott เป็นนักโฆษณาที่เก่งกาจคนนึงในวงการ แต่จะบอกว่างานเขียนของเค้าก็ไม่ธรรมดาค่ะ วิธีการเล่าเนื้อหา หาข้อมูล และเรียบเรียงตัวหนังสือของเค้า ทำให้เราวางไม่ลง อดทึ่งไม่ได้ว่าพี่แกไปเอาเรื่องราวเหล่านี้มาจากไหน เพราะทั้งสนุก และทั้งสอนอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะความคิดสร้างสรรค์และการใช้ชีวิตของเรา
ไอเดียของหนังสือเล่มนี้ คือการขยายขอบเขตความรู้ของเราที่อาจไม่เกี่ยวข้องกันเลย เป็นความรู้กว้าง ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลในความคิดเชิงสร้างสรรค์ เพราะยิ่งเรารู้รอบ ก็ยิ่งเป็นไปได้ที่เราจะมีวิธีคิดที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยเป็น เราอาจเชื่อมโยงความสนใจในหลายๆ เรื่องเหล่านั้น แปรเปลี่ยนและตกผลึกเป็นความคิดที่แปลกใหม่ เป็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงโลกได้
หากยังยึดติดกับความรู้ที่เรามี ขยายความรู้เท่าที่เราสนใจ ก็เหมือนกับ 1+1 = 2 คือความรู้เรื่องใดเรื่องนึงที่มากขึ้น ลึกขึ้น ซึ่งก็ดีนะ แต่การรู้กว้างอาจเป็นประโยชน์มากกว่า มันอาจจะเป็น 1+1 ที่ได้มากกว่า 2 เพราะอาจทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาได้เลย ซึ่งน่าจะจำเป็นกว่าในยุคสมัยนี้
หนึ่งในเรื่องราวที่ผู้เขียนเล่าให้ฟังคือเรื่องของเด็กหญิง Tilly Smith อายุ 10 ขวบ เธอใช้ความรู้เรื่องสึนามิที่เพิ่งเรียนมา บอกพ่อให้เตือนทุกคนบนชายหาดก่อนที่จะเกิดสึนามิขึ้นจริงๆ ทำให้หาดไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต เป็นเพียงสถานที่เดียวในภัยพิบัติสึนามิปี 2004 ที่ไม่มีใครเสียชีวิต เธอได้ช่วยชีวิตคนไว้กว่า 100 คน จากผู้เสียชีวิตราว 250,000 คนทั่วชายฝั่ง 13 ประเทศ จริงๆ แล้วต้องชื่นชมคุณพ่อด้วยที่เชื่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ ยอมคิดว่าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ก็ยอมเสียหน้าดีกว่าจะมาเสียใจในภายหลังแล้วกลับไปแก้อะไรไม่ได้
ตรงนี้ทำให้เราเรียนรู้ว่า การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ต้องนึกถึงผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้น แล้วถามตัวเองว่ารับได้มั้ย มันเทียบกันได้มั้ยกับผลที่เกิดขึ้นหากไม่ได้ทำ การลงทุนทำอะไรก็เหมือนกัน แย่ที่สุดคือขาดทุนทั้งหมด แล้วต้องถามตัวเองว่าถ้าเป็นแบบนี้จะรับได้มั้ย นั่นแปลว่าเราก็ไม่ควรทุ่มทุนที่มีทั้งหมด แต่ควรจะเก็บไว้เป็นทุนสำรองบ้าง
นอกจากนี้ การศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราไม่มีทางรู้เลยว่า อนาคตเราจะได้เจอกับอะไรบ้าง Tilly คงแปลกใจกับน้ำทะเลที่แห้งไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดสึนามิถ้าเธอไม่เคยเรียนเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นการมีความรู้ไว้ไม่เสียหายและยังช่วยอะไรได้อีกมากทั้งในการใช้ชีวิต และการทำธุรกิจ
อีกเรื่อง เป็นเรื่องของตัวผู้เขียนเอง เค้าพูดถึงร้านดอกไม้ที่โทรหาเค้าก่อนวันวาเลนไทน์ 1 อาทิตย์ เพื่อถามว่าปีนี้จะรับดอกไม้หรือเปล่า นี่เป็นการทำการตลาดและการจัดการสต็อกที่ดีมาก เพราะร้านดอกไม้รู้กลุ่มเป้าหมายตัวเอง เข้าใจว่าดอกไม้วันวาเลนไทน์เป็นสิ่งที่ผู้ชายต้องสั่ง แต่มักจะลืม และสั่งเมื่อใกล้จะจวนเจียนแล้ว จะดีกว่ามั้ยถ้าร้านดอกไม้จะอำนวยความสะดวกให้ รับออเดอร์ก่อนและส่งให้ในวันที่ต้องการ ตัดปัญหาลูกค้าลืมและกระวนกระวายใจ ร้านตัดปัญหาการกะออเดอร์ไม่ถูก และตัดปัญหาแย่งลูกค้าในวันสำคัญ เรียกว่า win win กันทั้งคู่
ตัวอย่างนี้นำไปปรับใช้กับการทำธุรกิจได้เยอะมาก อย่างน้อยๆ เราต้องรู้จักลูกค้าของเรา ควรใช้ฐานข้อมูลลูกค้าให้เป็นประโยชน์ บุกตลาดก่อนที่คู่แข่งจะบุก และบริการลูกค้าอย่างดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าประทับใจกลับมาใช้ซ้ำ
ยังมีอีกหลายเรื่องที่อ่านสนุกมาก แล้วก็ได้รู้อะไรขึ้นอีกเยอะมาก ใครอยากขยายความรู้เพื่อวันนี้และอนาคตเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ แนะนำเลยค่ะ ส่วนตัวอย่างอ่านภาษาอังกฤษมากเพราะน่าจะอ่านง่าย และได้อรรถรสดีเหมือนกัน รอบหน้าเล่มเก๋าของนักเขียนท่านเดิม Predatory Thinking จึงสั่งแบบภาษาต้นฉบับมาแล้วค่ะ รออ่านแล้วเนี่ย 🙂