One Plus One Equals Three |Dave Trott

IMG_9426

One Plus One Equals Three | Dave Trott

ติดตามหนังสือเล่มนี้มาจาก Podcast ของอาจารย์นพดลและคุณรวิศเลยค่ะ (และคงมีอีกหลายๆ เล่มที่ได้ฟังมาจากทั้งสองท่านนี้) ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่เคยผิดหวัง อาจเป็นเพราะชอบอะไรคล้ายๆ กัน 555 มโนไปไกล 

Dave Trott เป็นนักโฆษณาที่เก่งกาจคนนึงในวงการ แต่จะบอกว่างานเขียนของเค้าก็ไม่ธรรมดาค่ะ วิธีการเล่าเนื้อหา หาข้อมูล และเรียบเรียงตัวหนังสือของเค้า ทำให้เราวางไม่ลง อดทึ่งไม่ได้ว่าพี่แกไปเอาเรื่องราวเหล่านี้มาจากไหน เพราะทั้งสนุก และทั้งสอนอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะความคิดสร้างสรรค์และการใช้ชีวิตของเรา

ไอเดียของหนังสือเล่มนี้ คือการขยายขอบเขตความรู้ของเราที่อาจไม่เกี่ยวข้องกันเลย เป็นความรู้กว้าง ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลในความคิดเชิงสร้างสรรค์ เพราะยิ่งเรารู้รอบ ก็ยิ่งเป็นไปได้ที่เราจะมีวิธีคิดที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยเป็น เราอาจเชื่อมโยงความสนใจในหลายๆ เรื่องเหล่านั้น แปรเปลี่ยนและตกผลึกเป็นความคิดที่แปลกใหม่ เป็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ 

หากยังยึดติดกับความรู้ที่เรามี ขยายความรู้เท่าที่เราสนใจ ก็เหมือนกับ 1+1 = 2 คือความรู้เรื่องใดเรื่องนึงที่มากขึ้น ลึกขึ้น ซึ่งก็ดีนะ แต่การรู้กว้างอาจเป็นประโยชน์มากกว่า มันอาจจะเป็น 1+1 ที่ได้มากกว่า 2 เพราะอาจทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาได้เลย ซึ่งน่าจะจำเป็นกว่าในยุคสมัยนี้

หนึ่งในเรื่องราวที่ผู้เขียนเล่าให้ฟังคือเรื่องของเด็กหญิง Tilly Smith อายุ 10 ขวบ เธอใช้ความรู้เรื่องสึนามิที่เพิ่งเรียนมา บอกพ่อให้เตือนทุกคนบนชายหาดก่อนที่จะเกิดสึนามิขึ้นจริงๆ ทำให้หาดไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต เป็นเพียงสถานที่เดียวในภัยพิบัติสึนามิปี 2004 ที่ไม่มีใครเสียชีวิต เธอได้ช่วยชีวิตคนไว้กว่า 100 คน จากผู้เสียชีวิตราว 250,000 คนทั่วชายฝั่ง 13 ประเทศ จริงๆ แล้วต้องชื่นชมคุณพ่อด้วยที่เชื่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ ยอมคิดว่าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ก็ยอมเสียหน้าดีกว่าจะมาเสียใจในภายหลังแล้วกลับไปแก้อะไรไม่ได้ 

ตรงนี้ทำให้เราเรียนรู้ว่า การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ต้องนึกถึงผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้น แล้วถามตัวเองว่ารับได้มั้ย มันเทียบกันได้มั้ยกับผลที่เกิดขึ้นหากไม่ได้ทำ การลงทุนทำอะไรก็เหมือนกัน แย่ที่สุดคือขาดทุนทั้งหมด แล้วต้องถามตัวเองว่าถ้าเป็นแบบนี้จะรับได้มั้ย นั่นแปลว่าเราก็ไม่ควรทุ่มทุนที่มีทั้งหมด แต่ควรจะเก็บไว้เป็นทุนสำรองบ้าง 

นอกจากนี้ การศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราไม่มีทางรู้เลยว่า อนาคตเราจะได้เจอกับอะไรบ้าง Tilly คงแปลกใจกับน้ำทะเลที่แห้งไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดสึนามิถ้าเธอไม่เคยเรียนเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นการมีความรู้ไว้ไม่เสียหายและยังช่วยอะไรได้อีกมากทั้งในการใช้ชีวิต และการทำธุรกิจ

อีกเรื่อง เป็นเรื่องของตัวผู้เขียนเอง เค้าพูดถึงร้านดอกไม้ที่โทรหาเค้าก่อนวันวาเลนไทน์ 1 อาทิตย์ เพื่อถามว่าปีนี้จะรับดอกไม้หรือเปล่า นี่เป็นการทำการตลาดและการจัดการสต็อกที่ดีมาก เพราะร้านดอกไม้รู้กลุ่มเป้าหมายตัวเอง เข้าใจว่าดอกไม้วันวาเลนไทน์เป็นสิ่งที่ผู้ชายต้องสั่ง แต่มักจะลืม และสั่งเมื่อใกล้จะจวนเจียนแล้ว จะดีกว่ามั้ยถ้าร้านดอกไม้จะอำนวยความสะดวกให้ รับออเดอร์ก่อนและส่งให้ในวันที่ต้องการ ตัดปัญหาลูกค้าลืมและกระวนกระวายใจ ร้านตัดปัญหาการกะออเดอร์ไม่ถูก และตัดปัญหาแย่งลูกค้าในวันสำคัญ เรียกว่า win win กันทั้งคู่

ตัวอย่างนี้นำไปปรับใช้กับการทำธุรกิจได้เยอะมาก อย่างน้อยๆ เราต้องรู้จักลูกค้าของเรา ควรใช้ฐานข้อมูลลูกค้าให้เป็นประโยชน์ บุกตลาดก่อนที่คู่แข่งจะบุก และบริการลูกค้าอย่างดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าประทับใจกลับมาใช้ซ้ำ

ยังมีอีกหลายเรื่องที่อ่านสนุกมาก แล้วก็ได้รู้อะไรขึ้นอีกเยอะมาก ใครอยากขยายความรู้เพื่อวันนี้และอนาคตเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ แนะนำเลยค่ะ ส่วนตัวอย่างอ่านภาษาอังกฤษมากเพราะน่าจะอ่านง่าย และได้อรรถรสดีเหมือนกัน รอบหน้าเล่มเก๋าของนักเขียนท่านเดิม Predatory Thinking จึงสั่งแบบภาษาต้นฉบับมาแล้วค่ะ รออ่านแล้วเนี่ย 🙂

Becoming | Michelle Obama

Becoming | Michelle Obama

9C9DCCEC-078A-4832-B6BA-C71B7559334A.JPG

ได้เห็นหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกในรายการของ Ellen ในตอนที่ Michelle Obama ไปออกรายการ ซึ่งเป็นช่วงที่ Barack Obama ใกล้จะหมดวาระประธานาธิบดีสหรัฐฯ จำได้ว่า วันนั้นเธอพูดถึงชีวิตตัวเองในทำเนียบขาวตลอดแปดปี และชีวิตในอนาคตของเธอ ตลอดจนโปรโมทหนังสือของเธอ 

ส่วนตัวไม่ได้ตามติดชีวิตครอบครัวนี้ แต่รู้ว่าเป็นครอบครัวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ Barack ที่มีลุคเป็นผู้นำของโลกสมัยใหม่ที่น่าเกรงขาม สมาร์ท ดูฉลาด พูดจาฉะฉาน ส่วน Michelle ก็เป็นผู้หญิงที่ดู Strong มีความเป็น Independent Woman สุดๆ แล้วยังมีความมั่นใจ แต่งตัวดี เหมาะสม เวลาไปออกรายการที่ไหนก็รู้สึกว่าน่าติดตาม อยากฟังเค้าพูด เพราะรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงฉลาด เพราะเราชอบคนที่ฉลาดทางความคิด (อยากเป็นแบบนนั้นบ้าง 555)

นั่นคือทั้งหมดที่เรารู้สึก

แต่หนังสือเล่มนี้ กลับบอกเล่าเรื่องราวของเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึง ที่เติบโตมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก ที่ให้อิสระทางความคิดกับเธอ สังคมที่ดูเหมือนจะเปิดกว้างให้กับคนผิวสี เอาจริงๆ ก็ยังแอบมีเหยียดๆ อย่างรู้สึกได้ ผลักดันให้เธอรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเรียกร้องความเสมอภาคอย่างแท้จริง มีครั้งนึงที่เธอจำได้แม่น เมื่อเพื่อนผิวขาวของเธอพูดกับเธอว่า ‘ทำไมเธอพูดแบบคนผิวขาวเลย?’ คำพูดนั้นยังติดอยู่ในใจเธอมาโดยตลอด

Michelle เป็นคนตั้งใจเรียน ฉลาดและรักการเรียนรู้มากๆ บวกกับความเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ของเธอ ทำให้ Michelle มีโอกาสที่ดีในชีวิตทั้งในด้านการเรียนและการทำงาน มีโอกาสได้ทำงานช่วยเหลือสังคมและรู้จักเพื่อนๆ ในวงการเมือง การสาธารณะสุข มากมายที่สนับสนุนและส่งผลให้เธอได้ทำงานตามเป้าหมายหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพของเด็กและเยาวชน จนเมื่อเธอได้พบกับ Barack ได้สร้างครอบครัวเหมือนชาวอเมริกันทั่วๆไป ที่ต้องทั้งทำงานหนัก ทั้งต้องแบ่งเวลามาเลี้ยงลูก ครุ่นคิดถึงเป้าหมายในชีวิต คิดถึงค่าใช้จ่ายและสุขภาพของตัวเอง บลาๆ ประกอบกับความสัมพันธ์ที่มีระยะทาง เพราะ Barack ต้องทำงานที่ไกลบ้านและก็มีภาระงานหนักอีก 

เหล่านี้ก็เหมือนจะหนักหนาแล้วนะสำหรับผู้หญิงคนนึง แต่แล้วชีวิตของเธอก็ต้องพบกับการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ เมื่อ Barack ได้โอกาสลงสมัครประธานาธิบดี สิ่งที่เธอแบกรับอยู่ก่อนแล้ว กับภาระหน้าที่ที่จะต้องเข้ามาอีก แบบนี้คือชีวิตที่เธอปรารถนาหรือไม่? แต่ด้วยความที่อยากสนับสนุนสามีและเหตุผลที่ว่า ความสามารถของ Barack อาจเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ เธอจึงตกลงร่วมหัวจมท้ายไปกับ Barack ซึ่งนั่นเราว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวมาก ที่เธอยอมสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนอื่น และเราว่า มันเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดเลย

ภายในเล่มจะแบ่งเป็นส่วนๆ ส่วนแรก Becoming Me จะเป็นช่วงชีวิตของเธอตั้งแต่เด็กจนโต สังคม โรงเรียน เพื่อนบ้าน ครอบครัว สิ่งที่หล่อหลอมให้เธอเป็นเธอจนถึงทุกวันนี้ ส่วนพาร์ทที่สองคือ Becoming Us ช่วงชีวิตที่เธอกับ Barack ได้รู้จักและใช้ชีวิตร่วมกัน ช่วงเวลาที่ต่างคนต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน คอยสนับสนุนเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องชีวิต หรือแม้แต่ปัญหาที่ทุกคู่ต้องเจอโดยเฉพาะเรื่องเวลาและเรื่องงาน จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ครอบครัว Obama ได้เข้ามาอยู่ในทำเนียบขาว ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวอย่างไร สุดท้าย Becoming More คือช่วงเวลาที่ครอบครัวนี้ได้ทำงานในทำเนียบขาว และได้ส่งต่อแนวคิดและวิธีปฏิบัติ ผ่านนโยบาย ผ่านแคมเปญต่างๆ ไปสู่ชาวอเมริกันอย่างไรบ้าง เพราะเหตุใด ซึ่งเราจะได้เห็นเบื้องหลังการทำงานของ Barack และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ตลอดจนคนอื่นๆในทำเนียบขาว เสมือนว่าได้เข้าไปอยู่ด้วยกันในนั้นก็ไม่ปาน อ่านแล้วเพลินดีเหมือนกำลังดูหนังที่มีทำเนียบขาวเป็นฉากหลัก

ดังนั้น หนังสือเล่มนี้เป็นการทำความรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง ผ่านชีวิตที่เรียบง่ายบ้าง ตื่นเต้นบ้าง เหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่ก็ถือว่าเป็นชีวิตที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม มีน้อยคนนักที่จะได้ทำความรู้จักกับสตรีหมายเลขหนึ่งอย่างใกล้ชิด ผ่านตัวหนังสือที่ให้ความรู้สึกสนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง พาเราเข้าไปเดินเที่ยวในทำเนียบขาวแบบทะลุปรุโปร่ง อีกอย่างคือการได้ทำความรู้จักกับ Barack Obama ในอีกมุมหนึ่งที่ใกล้ชิดไม่แพ้กัน ได้อ่านความคิดที่สะท้อนผ่านมุมมองของภรรยาที่เคารพรักและให้การสนับสนุนอยู่เสมอ จากที่ไม่ได้รู้จักอะไรมากมาย ก็กลายเป็นรู้สึกประทับใจในครอบครัวนี้มากๆ และได้เรียนรู้อะไรจากครอบครัวนี้ไปมากมายเหมือนกันค่ะ แนะนำสำหรับคนที่เป็นแฟนคลับ Obama ชอบในความเป็นสังคมอเมริกัน เล่มนี้ตอบโจทย์ และจะส่งแรงบันดาลใจให้คุณไม่มากก็น้อย