ทำทีสิสชีวิตเปลี่ยน!

ห่างหายจากการรีวิวหนังสือและทริปมานาน เพราะมัวแต่ยุ่งๆ เรื่องกระจุกกระจิก เรื่องที่บ้าน เรื่องทีสิสของตัวเอง และเรื่องงานแต่งของเพื่อนสาวคนสนิท วันนี้อยากบันทึกความทรงจำของการทำวิทยานิพนธ์ที่เปรียบเหมือนกับการเขียนหนังสือเล่มแรกของตัวเอง คล้ายๆ กับการรีวิวทีสิสของตัวเองก็ไม่ปาน ฮาๆ

หลังจากที่อาจารย์ที่ปรึกษาและคณะกรรมการประกาศกับเราว่า ยินดีด้วย คุณผ่านแล้วนะ … ความรู้สึกแรกคือดีใจ แต่เป็นความดีใจแบบเบาๆ มันยังงงๆ และยังไม่ชินกับความยินดีปรีดาที่ควรจะเป็น หลังจากคณะกรรมการออกไปจากห้อง เหลือเพียงตัวเราและอาจารย์ที่ปรึกษาที่พบเจอกันไม่บ่อยนัก แต่รู้สึกสนิทและวางใจ แกก็ย้ำกับเราอีกครั้งด้วยรอยยิ้มว่า ยินดีด้วยนะ เราก็ได้แต่ยิ้มรับและขอบคุณอาจารย์อีกครั้ง เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบรับยังไง ก่อนจะจากกันไป แกก็ยิงมุขเด็ดมาว่า ครูต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ high pass ได้แค่ pass with no correction นะคะ เราก็หัวเราะร่วนเลยเพราะมันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ เกินความคาดหวังไปไกลโข ผ่านแบบไม่ต้องแก้เนี่ย นึกไปต่างๆ นานาว่าคณะกรรมการจะโอเคกับความไม่ปกติของทีสิสนี้หรือเปล่า หรืออาจารย์จะเข้าใจผลวิจัยที่เจอหรือเปล่า เพราะเราเองก็ยังหวั่นใจเลย

พอได้อยู่คนเดียวระหว่างทางกลับบ้านเท่านั้นแหละ ความรู้สึกจริงๆ เริ่มปรากฏ ความรู้สึกทุกอย่างตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งก่อนตัดสินใจเรียน ระหว่างและหลังการเรียนที่นี่ ประดังประดาเข้ามาพร้อมกัน น้ำตาก็ไหลสิคะ มันดีใจและโล่งอกบอกไม่ถูก คงเหมือนเวลานางงามได้รับตำแหน่ง แตกต่างกันที่ นี่เป็นการแข่งขันที่ใช้เวลานานมาก มีบททดสอบเยอะมาก แม้ท้ายที่สุดแล้วจะมีผู้เข้าแข่งขันแค่คนเดียวก็ตาม

ปกติไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง แต่ชอบที่จะเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องที่สนใจ ทำให้ช่วงปริญญาตรีสามารถทำคะแนนได้ดีมาก จนเรียกได้ว่าเป็นคนเรียนเก่งค่ะ (ไม่ค่อยเลย) อีกเหตุผลนึงเพราะเราตั้งใจว่าจะตั้งใจเรียน ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาจึงคาดเดาได้ไม่ยาก ความถือตน ทะนงตนก็ยิ่งเยอะเพราะเรามักจะได้ทุนไปนู่นนี่อยู่สม่ำเสมอ รวมทั้งทุนเรียน ป.โท ด้วย สิ่งที่ต้องแลกก็คือ การทำเกรดให้เกิน 3.5 และการบังคับทำวิทยานิพนธ์ ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย หลุมพรางความสำเร็จเกิดขึ้นเพราะความประมาทนี่เองค่ะ เวลาว่างมีมากเพราะวิชาเรียนมีน้อย มันเป็นภาพลวงตาของคนที่ไม่มีประสบการณ์ เราใช้เวลาส่วนใหญ่เที่ยวเล่นไปโดยเปล่าประโยชน์ พอเพื่อนๆ ใกล้จะเรียนจบเราก็รีบทำทีสิสของเรา แต่การทำอะไรรีบๆ ไม่ทำให้งานออกมาดีแน่ๆ การสอบป้องกันครั้งแรกแม้จะผ่านแต่ก็ต้องแก้เยอะมาก มากจนกระทั่งต้องเปลี่ยนหัวข้อทีสิสและเปลี่ยนจุดประสงค์ เพิ่มวิธีการเก็บข้อมูล และเพิ่มจำนวนประชากรในการเก็บข้อมูลกันเลยทีเดียว

ความผิดหวังเกิดขึ้นเมื่อรู้ว่าเราจะจบไม่ทันเพื่อนแน่ๆ ความถือดีที่มีกลับมาทำร้ายตัวเรา เสียใจมากเพราะไม่คิดว่าเด็กเรียนเก่งอย่างเราจะจบไม่ตามกำหนด ยิ่งคิดเปรียบเทียบกับเพื่อนคนอื่นยิ่งเครียดและเสียใจ ทำไมไม่…? รู้งี้น่าจะ…? มีคำถามกับตัวเองมากมายจนเบลอไปหมด หันไปดูทีสิสก็มีแต่ปัญหา เหตุเพราะเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ตรงตามหัวข้อที่ทำ แกบอกให้เปลี่ยนตั้งแต่แรกแต่เราก็ดึงดัน คิดว่าคงไม่ได้ซีเรียสอะไร อยากเลือกอาจารย์ที่ใจดี สุดท้ายต้องปรึกษาอาจารย์ท่านอื่นมากมายไปหมด กว่าจะหาทางไปต่อได้ก็สะบักสะบอม เพราะเหมือนต้องเดาสุ่มไปเรื่อยๆ รู้สึกแย่อีกเมื่ออาจารย์ที่เป็นคณะกรรมการชุดเดิมไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แกคงจะรำคาญด้วย ก็เลยไม่ยอมเป็นกรรมการให้เราแล้ว ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปอีกเพราะโดนตำหนิว่าเป็นงานขยะ ฟังแล้วโครตเจ็บเลย

เวลาทั้งหมด 3 ปีในการทำทีสิส ไม่รวมการเรียนรายวิชาประมาน 2 ปี ผ่านไปอย่างเชื่องช้า และทรมาน เคยเป็นโรคเครียดและโรคซึมเศร้าระยะฟักตัว ไม่อยากเจอใคร เก็บตัว ไม่อยากให้ใครถามถึงทีสิส กลัวว่าคนอื่นจะมองอย่างนู้นอย่างนี้ กดดันตัวเอง หรือบางทีก็บ้าๆ บอๆ แบกเป้เที่ยวคนเดียว จริงๆ เหมือนกำลังหนีปัญหา ขอแวบไปหาความสุขชั่วคราว ค่อยกลับมาจมความเศร้าต่อ อะไรประมานนี้ค่ะ มันเครียดเพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ บางครั้งทุ่มเททำไปแล้วสุดท้ายก็เอามาใช้ไม่ได้ ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดแต่ต้องขึ้นมากรุงเทพฯเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ถึง 3 ครั้ง เดินดุ่มๆ เข้าออกร้านพิซซ่าคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ที่ต้องเก็บเยอะเพราะมีปัญหาเรื่องการขออนุญาตวิจัยที่ต้องมีเอกสารยืนยันแต่ตัวเองดันไม่ทราบ เดือดร้อนเจ้าหน้าที่และอาจารย์ที่ปรึกษาในการประสานงานจนสามารถผ่านมาได้แบบฉิวเฉียด ที่ฉิวเฉียดเพราะได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษและเป็นรายสุดท้ายที่กรรมการจะให้ผ่าน เอ้อ เอาเข้าไป

เหลือแค่ไม่กี่เดือนก็ครบกำหนดหลักสูตรแล้ว ควรจะกดดันอีกเพราะถ้าไม่จบตามกำหนด 5 ปี ถือว่าผิดสัญญาของทุนการศึกษา ต้องชดใช้ทุนเป็นแสนๆ นะจ้ะ ช่วงโค้งสุดท้ายเหมือนชีวิตเริ่มคิดได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น พอแล้วกับความเครียดและกังวล เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ พอแล้วกับความหยิ่งทะนงตน ว่าตัวเองเก่ง ซึ่งจริงๆ ก็เลิกคิดไปนานแล้ว พอแล้วกับความกดดันจากการไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คนเราเจออะไรต่างกัน พื้นฐานต่างกัน ดังนั้นจะเปรียบเทียบกันมันเป็นสิ่งที่ไม่ควร และพอแล้วกับความน้อยใจในโชคชะตา ตัวเราเองที่เป็นคนกำหนดโชคชะตาค่ะ ตั้งใจสิ ตั้งใจทำเต็มที่เหมือนอย่างที่เคยทำ แล้วผลลัพธ์ที่หวังไว้จะตามมาเอง

แล้วฝันก็เป็นจริง (ฮา)

นอกจากจะได้ปลดแอกจากการเป็นทาสทีสิส รู้สึกโล่งเหมือนคนปกติ แล้วก็ได้บทเรียนสอนตัวเองแล้ว ก็ยังได้ความรู้เรื่องพิซซ่าด้วยนะเออ ทำไมถึงเลือกทำเรื่องนี้ไม่เล่านะเดี๋ยวยาว มันดูไร้สาระใช่มั้ย แล้วจะทำไม? (ฮาๆ) สิ่งที่ค้นพบค่อนข้างน่าประหลาดใจ นั่นคือ พิซซ่าอิตาเลี่ยนที่แท้จริงจากต้นกำเนิดนั้นเป็นอาหารเพื่อสุขภาพจ้าา เข้าทางเลยค่ะ ว่าแล้วไปกินพิซซ่าดีกว่า…

2 thoughts on “ทำทีสิสชีวิตเปลี่ยน!”

  1. ยินดีด้วยน๊า นี่แหละที่เขาบอกว่าการเรียนโทมีอะไรมากกว่าใบปริญญา 🙂 เราเองอาจจะไม่นานเท่าแต่ก็จบช้ากัน เพราะความประมาท ความขี้เกียจ ประมาทเลินเล่อ ทั้งๆที่เพื่อนพยายามผลักดัน แต่เราเองกลับไม่ให้ความสำคัญ และหวังว่าจะจบโทเร็วๆนี้

    Like

Leave a comment