วิวที่สวยที่สุด…อยู่บนภูสอยดาว

วิวที่สวยที่สุด…อยู่บนภูสอยดาว
ประสบการณ์เดินเขาครั้งแรกที่ภูสอยดาว ทริปชิวๆ ในหมู่บ้านเนินมะปราง บ้านมุง จ.พิษณุโลก และอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จ.สุโขทัย

IMG_8407 cv

หลากหลายทฤษฎีบอกว่า ทำอะไรคนเดียว ยังไงๆ ก็สู้หลายๆ คนไม่ได้ เพราะอย่างน้อย ก็ได้ช่วยเหลือกัน เวลาไปเที่ยวก็เช่นกัน ไปคนเดียวเหงาจะตาย จะไปไหนสำรวจอะไรก็ไม่กล้าไปไกลๆ กลัว ไปหลายคนสนุกดี ไม่เหงา มีคนถ่ายรูปให้ เดินไปไหนก็ไม่ต้องกังวลอะไรมาก อืม มันทั้งถูกและไม่ถูกค่ะ ไม่เถียง และไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ขอพูดอย่างเดียวว่า มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียของการไปเที่ยวแต่ละแบบทั้งนั้นแหละ แล้วแต่ความชอบ และวิจารณญาณส่วนบุคคล

ช่วงสองสามปีหลังๆ มานี้ เราเป็นพวกชอบแบกเป้เที่ยวคนเดียวตลอด ก็สนุกดีค่ะ อิสระดี ชิวมาก อยากทำอะไรทำ อยากไปไหนไป รู้สึกว่าพึ่งพาตัวเองได้ มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น มีความสุขกับอะไรๆ ง่ายๆ แค่เห็นวิวสวยๆ ก็ยิ้มได้แล้ว มีเหงาบ้างเล็กน้อยแต่ยังโอเค ถ้ามีอินเตอร์เน็ตก็ไม่ต้องกังวลอะไร ทักเพื่อนไปเดี๋ยวก็ตอบ พอเริ่มเที่ยวคนเดียวบ่อยขึ้น ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า นีเราอยากไปเที่ยวคนเดียวจริงๆ หรือไม่มีเพื่อนคบกันแน่? (ฮา) เหตุผลจริงๆ อาจเป็นเพราะความสะดวกมากกว่าค่ะ ไม่ต้องมารอว่าใครจะว่างไม่ว่าง ไปคนเดียวเลย ง่ายดี ไม่มีทริปล่ม อีกอย่าง เพราะไปคนเดียวสบายใจดีค่ะ ไม่ต้องทะเลาะกับใคร 🙂

IMG_8144 ed
น้ำตกภูสอยดาว เข้าอุทยานฯมา เจอวิวนี้เลย

การตัดสินใจไปเดินเขาถึงภูสอยดาวนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีค่ะ เพราะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ท้าทายดี เคยไปเดินง่ายๆ กว่านี้ที่ Sapa แล้วร่างกายไม่พร้อมเลย แย่ไปเลย รอบนี้อยากแก้มือ เห็นเพื่อนที่ไปเดินเขาถ่ายรูปมาอวดเมื่อปลายปีนู้นก็อยากไปบ้าง จัดแจงหมายมั่นปั้นมือว่าถ้าเพื่อนจัดอีกจะไปด้วยให้ได้ แล้วก็สมใจค่ะ อุทยานแห่งชาติประกาศเปิดเส้นทางเดินเขาที่ภูสอยดาว พอดีกับช่วงวันหยุดยาวของเรา ความตื่นเต้นมันมีมากกว่าความรู้สึกอื่นใด ความรู้สึกที่ว่า…

นี่จะเป็นทริปร่วมกับเพื่อนสมาชิกอีก 7 ท่าน ที่ส่วนใหญ่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อน นี่จะเป็นทริปที่ต้องฟิตซ้อมร่างกายให้ทนสภาพการเดินเขาทางชันหลายชั่วโมง และนี่จะเป็นการไปเที่ยวแบบไม่ต้องแพลนอะไรทั้งสิ้น… แล้วไงล่ะ

1.ไม่ชอบไปเที่ยวกับจำนวนคนที่เยอะขนาดนี้ค่ะ มันวุ่นวาย มากคนมากความ ตั้งแง่ไว้ก่อนเลย (ฮา) แล้วนี่ก็ไม่ได้รู้จักเค้าอีก
2.ต้องฟิตแค่ไหนล่ะ ไม่เคยเดินเขาแบบนี้เลย
3.มันต้องเตรียมตัวอะไรบ้างล่ะ ไม่ต้องวางแผนอาจจะรู้สึกสบาย แต่มันไม่ใช่วิสัยเรา เราจะรู้สึกกังวล ไม่มั่นใจ เพราะไม่มีข้อมูลใดๆ

ใกล้วันเดินทางแล้ว เราก็เตรียมความพร้อมด้วยการไปฟิตเนสเข้าคอร์ส HIIT ฝึกการเต้นของหัวใจและความแข็งแรงของต้นขา แล้วก็ไปหาซื้อรองเท้าเดินเขามาเรียบร้อย ความกังวลลดลงไปเยอะเลย พร้อมลุยแล้วค่ะ!

เพิ่งรู้ว่าเตรียมตัวมาน้อยไปนิด แต่ก็ดีพอสมควร 🙂

IMG_8052 ed
ภาพน่ารักๆ ในตลาดสด ตอนตีสี่

การเดินทางไปภูสอยดาวนั้นทำได้หลายทาง ตอนแรกกะจะนั่งรถประจำทาง แล้วต่อรถหรือโบกรถไปภูสอยดาว แต่ครั้นเราได้สมาชิกมากันเยอะขนาดนี้ จึงสมควรที่จะเช่ารถตู้ พร้อมคนขับค่ะ สบายหน่อย เราจึงเริ่มทริปด้วยการนั่งรถตู้จากดอนเมืองไปพิษณุโลกกันตั้งแต่ค่ำๆ ฝนฟ้าร้องคำรามมาตลอดทาง กังวลว่าถ้าตกแบบนี้ตอนขึ้นเขาก็ต้องขอคิดอีกที เพราะคงทุลักทุเล ยังไม่พอ ฝนก็ดันมาตกหนักมากตอนที่แวะกินข้าวในปั๊ม จนสมาชิกทุกท่านเปียกปอนกันไปตามๆ กัน เพราะวิ่งขึ้นรถไม่ทัน สงสัยจะปอดบวมก่อนไปถึงที่หมายซะแล้ว เรานั่งหลับๆ ตื่นๆ กับชุดเปียกๆ จนถึงเวลาประมาณตีสี่ พวกเราก็มาถึงอำเภอชาติตระการ ชุมชนเมืองสุดท้ายก่อนเข้าเขตอุทยานฯ ค่ะ เพื่อนๆ สมาชิกจัดแจงซื้อเสบียง วางแผนอาหารการกินมากมาย เราได้แต่ยืนตาปริบๆ (ด้วยความง่วง) ถ่ายรูปไปเรื่อยเพราะไม่รู้ต้องทำอะไรบ้าง รู้อย่างเดียวว่า เออ สบายจัง ไม่ต้องทำอะไร (ฮา)

IMG_8066 ed
ไข่ต้มทรงเครื่อง หนึ่งในเสบียงขึ้นเขา

หกโมงเช้าเราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จ.พิษณุโลก ที่นี่มีอาณาเขตติดกับจ.อุตรดิตถ์ และบริเวณตะเข็บชายแดนประเทศลาวด้วย ก่อนจะเดิน เราต้องมาลงทะเบียนกันค่ะ เพื่อแจ้งว่ามากี่คน จะเช่าเต๊นท์มั้ย ใช้ลูกหาบมั้ย อะไรอย่างงี้ พอใกล้เวลาทำการแปดโมงเช้า คนก็มากันเยอะเลย เพราะเราไปช่วงวันหยุดยาวค่ะ เห็นคนเยอะๆ เค้าดูจริงจังอลังการมากๆ บางคนมีไม้เท้าเดินเขา หรือ gadgets ต่างๆ ทำให้เรา ผู้ซึ่งไม่ได้เตรียมอะไรมามากมายต้องแอบกังวล ตอนชั่งน้ำหนักของให้ลูกหาบ ก็ไม่ได้เตรียมกระเป๋ามา ต้องฝากของในกระเป๋าสมาชิกกันให้วุ่น ตลกดีค่ะ

จากจุดลงทะเบียนไปจนถึงจุดกางเต๊นท์นั้น ห่างไกลเท่าไหร่ไม่ทราบเพราะไม่ได้หาข้อมูลมาเลย ทราบภายหลังว่าเป็นระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ในรีวิวก็บอกว่าเป็นการเดินเขาในระดับง่ายถึงปานกลาง โอ๊ะ ชิวเลยค่ะ (แต่ก็ได้ไม่นาน) ใจพร้อมเต็มที่ ตื่นเต้นเสียอีก เราได้เริ่มเดินตอน 9.10 น. เส้นทางส่วนใหญ่ช่วงแรกประมาณหนึ่งชั่วโมง เป็นการเดินเลียบน้ำตกค่ะ บรรยากาศสดชื่นมาก เหนื่อยเล็กน้อยเพราะทางไม่ชัน เราก็สงสัยว่าทำไมเดินสบายจัง ปากดีพูดออกไปไม่เท่าไหร่ก็มาเจอเนินแรกคือ เนินส่งญาติ หอบแฮ่กๆ กันเลยทีเดียว พอผ่านเนินนี้ไปได้ก็ต้องหยุดพักอยู่หลายนาที จุดนี้แหละที่เราแตกเป็นสองกลุ่ม อาจเป็นเพราะพละกำลังของน้องในกลุ่มเราคนหนึ่ง นางเดินได้อึดมาก เดินนำหน้าไปไกลมาก ทำให้เราและเพื่อนอีกคนต้องฟิตเดินตาม เราทั้งสามจึงกลายเป็นกลุ่มผู้นำไปโดยปริยายค่ะ หลังจากนั้นมาอีกสามชั่วโมงคือเนินขึ้นเขาล้วนๆ -_-

หัวใจที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายนั้นทำงานอย่างหนัก เหมือนมันจะหลุดออกมายังไงยังงั้นล่ะ ต้นขานั้นไม่ต้องพูดถึงค่ะมันชาชินไปนานแล้ว จุดนี้ต้องใช้ใจเดินเท่านั้น ดูเว่อร์ แต่มันจริงนะ เราว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ของร่างกายและจิตใจ ถ้าใจเรายังไหว ร่างกายมันก็ไหวนั่นแหละ เราแวะกินข้าวเที่ยงกลางป่ากันอย่างเพลียจัด พบเจอพูดคุยกับเพื่อนร่วมทางบ้าง พอให้ได้อรรถรส จนท้ายที่สุดเราก็มาถึงเนินสุดท้าย มันมีชื่อว่า เนินมรณะ ได้ฟังครั้งแรกก็ไม่รู้สึกหวั่นเกรงมาก เพราะที่ผ่านมาเกือบๆสามชั่วโมงก็ถือว่าหนักมากพออยู่แล้ว แต่พอเดินสวนกับคนที่เพิ่งลงมา เค้าก็บอกว่า ของจริงอยู่ที่เนินมรณะ! อะไรเนี่ย นี่ยังไม่เจอของโหดอีกเหรอ (ฮา) จะถอดใจก็คงไม่ทันแล้วค่ะ จึงต้องก้มหน้ารับชะตากรรมที่อยู่ข้างหน้า (ฮา)

เนินมรณะเป็นเนินที่ชัดสุดๆ และร้อนสุดๆ เพราะเรากำลังไต่อยู่บนยอดเขาแล้วค่ะ ความเหนื่อยล้าทวีคูณเพราะต้องบวกความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ตั้งฉากตอนกลางวันอีก ร่มไม้ก็ไม่มีให้พัก เฮ้อ สิ่งที่พอปลอบใจเราได้คือ วิวทิวเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา ที่ตั้งตระหง่านด้านหลังเราค่ะ ยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งเห็นวิวเขาได้ไกลเท่านั้น มันสวยสะกดตาจริงๆ 🙂

IMG_8242 ed
ป่าสนสุดสวยบนภูสอยดาว

ในที่สุด เราก็มาถึงทางเข้าป่าสนบนภูสอยดาวจนได้ค่ะ (เย่!) แต่ไม่มีใครได้เช็คอินปักธงความสำเร็จในโลกออนไลน์ได้เลย เพราะสัญญาณมือถือหายไปตั้งแต่ก่อนเข้าเขตอุทยานฯแล้ว เรายกนาฬิกาขึ้นมาดู ขณะนี้เป็นเวลา 13.40 น. ทำเวลาไปสี่ชั่วโมงครึ่ง กับระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร

ณ จุดๆ นี้ คือเหนื่อยมากที่สุดในชีวิต แต่ก็ภูมิใจมากพอๆ กัน 🙂

IMG_8254 ed
ดอกหงอนนาค บริเวณจุดกลางเต๊นท์

ณ ช่วงเวลานั้น สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือน้ำอัดลมเย็นๆ หรือน้ำดื่มเย็นๆ สักลิตรนึง ให้ขายขวดละร้อยก็ซื้อ พอรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็อยากโทษตัวเองว่า รู้งี้น่าจะกินตุนมาเยอะๆ (ฮา) เข้าใจคนที่มีอาการเหนื่อย ขาดน้ำอย่างหนักเนื่องจากทำกิจกรรมพวกนี้ หรือเดินหลงทางในป่า ในทะเลทรายก็ได้ เบลอเลย ตาลายไปหมดเลย (ฮา) ให้ฝืนยิ้มถ่ายรูปยังยากเลย

IMG_8299 ed
น้ำตกสายทิพย์ น้ำตกเล็กๆ บนภูสอยดาว

กว่าจะรอให้สมาชิกมาครบทั้งแปด ก็กินเวลาไปร่วมๆ สามชั่วโมงค่ะ ระหว่างนั้น เรากับน้องก็เดินสำรวจจุดกางเต๊นท์ น้ำตกและป่าสนจนหิวข้าว ด้านบนนี้ไม่มีไฟฟ้า น้ำก็ต้องไปรองอาบเอง ต้องทำอาหารกันเอง ก่อไฟเอง ไม่นานเราเตรียมพื้นที่ทำครัวกันอย่างทุลักทุเลแต่สนุก ทุกคนมีหน้าที่กันหมดรวมทั้งเราด้วย ภูมิใจมากที่เราหุงข้าวได้อร่อยพอดี เพราะที่บ้านก็หุงแบบนี้ค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เสียชื่อที่บ้าน (ฮา) อาหารที่กินก็ไม่ได้วิเศษอะไร แต่มันมีความสุขดีค่ะ รู้สึกเหมือนได้กลับเป็นเด็กเข้าค่ายอีกครั้งหนึ่ง ดึกดื่นเราก็คิดกิจกรรมปาร์ตี้น้ำชากาแฟซองกัน ช่างเข้ากับอากาศประมาณสิบหกองศาขณะนั้นจริงๆ ให้ความรู้สึกฟินก่อนนอนมากเลย ตื่นมาตอนเช้าก็เหมือนกันค่ะ ทำอาหารเบาๆ กันเหมือนเดิมก่อนเตรียมตัวเดินลง เราคุยกันเรื่องทริปเดินเขาครั้งถัดไปอย่างออกรส คาดว่าครั้งหน้าคงต้องจัดกันอีก ถึงคุณหมอจะสั่งห้ามเราไม่ให้เดินลงบันไดและเดินบนพื้นที่ขรุขระ (คงไม่ได้หมายถึงเดินเขา?) เพราะมีอาการเข่าเสื่อม (เศร้า) แต่เราก็ไม่ยี่หร่ะ และไม่เจียมบอดี้ค่ะ   แต่น้องๆ หลายคนไม่ค่อยชอบใจดอยนี้เท่าไหร่เพราะค่าใช้จ่ายเยอะ ค่าลูกหาบแพง ค่าเช่าเต๊นท์ เช่าเตา เช่าขัน เช่าถัง เช่าไปหมดทุกอย่าง ดีที่มีน้ำกินน้ำใช้ให้ค่ะ วิวด้านบนก็ไม่ว้าวเท่าไหร่ ไม่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้น ไม่ได้เห็นดาวตอนกลางคืนเพราะมาช่วงดวงจันทร์เต็มดวง หมอกก็เยอะอีก ที่คุยกันไปคือไม่มีอะไรดีเลยค่ะ (ฮา) แต่สำหรับเรา เราโอเคนะ เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไร แค่ตัวเองสามารถพิชิตดอยแห่งนี้ได้ก็สุดยอดมากแล้ว แล้วยังมาเจอปาร์ตี้ค่ายลูกเสือกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่น่ารักทุกคนอีก ไม่มีใครงี่เง่าเลย (ฮา) ทุกคนโอเคมาก เป็นกันเอง รู้หน้าที่ตัวเอง ดีงามค่ะ ไม่มีความรู้สึกขัดใจเลย (เยอะนะเรา) แค่นี้ก็สุขใจแล้วค่ะ

IMG_8447 ed
พี่คนนี้แบก 40 กิโลฯ!

ขาลงเราโดนคณะลูกหาบแซงหน้าไป พี่บางคนแบกน้ำหนักกว่าสี่สิบกิโล! บ้าไปแล้ว กลัวพี่เค้าเข่าเสื่อมมากค่ะ แต่เค้าคงทำมานานแล้ว อีกเดี๋ยวก็สวนทางกับพี่ๆ ที่มาซ้อมแข่ง trekking ที่ต่างประเทศ เค้าใช้เวลาขึ้นดอยแค่สองชั่วโมงเองอ่ะ จะฟิตไปไหนเนี่ย ขณะที่เรากำลังเดินลงเนินมรณะ หน้าเราก็ปะทะเข้ากับวิวพาโนราม่าของเทือกเขาภูสอยดาว วิวเดียวกันกับขาขึ้นนี่แหละ แต่ตอนขึ้นมันเหนื่อย เลยพลาดที่จะชื่นชมความงามของมัน คงเทียบได้กับเวลาไปเที่ยวที่สวยๆ แต่จิตใจกำลังขุ่นมัว เลยพลาดอะไรดีๆ ไป แต่ตอนนี้เราจะไม่พลาดมันอีกแล้ว ยิ่งคิดถึงความเหนื่อยยากที่ผ่านมาเมื่อวาน และมิตรภาพดีๆ กิจกรรมสนุกๆ บนดอย ก็ยิ่งเพิ่มพูนความงามให้กับวิวตรงหน้าอีก

วิวที่สวยที่สุด….อยู่ข้างหน้าเรานี่เองค่ะ ที่ภูสอยดาว 🙂

FullSizeRender-2 copyพวกเราใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งในการลงเขา สงสัยจะไปแข่ง trekking ด้วย ไม่รู้ตัวเองจะรีบลงไปไหน ต้นขาที่ระบมเริ่มออกอาการก้าวไม่ขึ้น สะดุดนู่นนี่ตลอดทาง เกือบหน้าขมำหลายรอบเลยค่ะ ถ้าพลาดนิดเดียวนี่คิดว่าคงต้องเสียโฉม (ฮา) อย่างน้อยก็ฟันแตก (ฮา) ในที่สุดสิ่งที่ใฝ่ฝันไว้ก็เป็นจริง เมื่อเราได้กินน้ำอัดลมเย็นๆ ที่ร้านสวัสดิการอุทยานฯ มันคือที่สุดของที่สุดค่ะ

ไม่เคยคิดว่าแค่น้ำอัดลมหนึ่งกระป๋องจะทำให้เรามีความสุขได้ขนาดนี้ 🙂

IMG_8700 ed3

เมื่อสมาชิกลงมาครบทุกคนก็ได้เวลาเดินทางต่อค่ะ จุดหมายปลายทางถัดไปอยู่ที่ อ.เนินมะปราง ซึ่งยังอยู่ใน จ.พิษณุโลก เป็นหมู่บ้านนึงที่อยู่บนเขาซึ่งเป็นเทือกเขาเดียวกับเขาค้อนี่แหละ มองจากแผนที่ก็ยังเดาไม่ออกว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร เมื่อพวกเราไปถึงบ้านสวนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่เป็นที่พักของเราคืนนี้ สิ่งแรกที่ทำให้เราตะลึงคือระเบียงที่พักค่ะ มันคือวิวระดับห้าดาวดีๆ นี่เอง เห็นท้องนาสลับสีเขียวอ่อนเขียวเข้ม เห็นภูเขาโอบล้อม เห็นดวงอาทิตย์ตก เห็นท้องฟ้าสีส้มอำพัน สวยมาก เรายืนถ่ายรูปอยู่อย่างนั้นจนท้องฟ้ามืด พอหมดความสนใจในวิวแล้ว ความรู้สึกถัดมาคือเสียดาย เสียดายที่พวกเราน่าจะเตรียมของมาปาร์ตี้กันมากกว่านี้ เพราะที่พักเรามีอุปกรณ์ทุกอย่างที่สามารถรังสรรค์ปาร์ตี้ขนาดย่อมได้เลยค่ะ พร้อมมาก ทั้งลังน้ำแข็ง เตาอั้งโล่ จานชามช้อนส้อม ตู้เย็น ตะแกรงย่างอะไรก็มี มีความคิดว่ารู้งี้ๆ ตลอดเวลา แต่ถ้าจะปาร์ตี้กันจริงๆ ให้มากับเพื่อนอีกกลุ่มนึงน่าจะดีกว่าค่ะ เพราะเราจะกล้ารั่วต่อหน้าเพื่อนสนิท เท่านั้น! 😛

IMG_8522 ed
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่เนินมะปราง

ความเสียดายอีกอย่างคืออดดูดาวบนดาดฟ้าค่ะ บ้านสวนแห่งนี้ถูกสร้างแบบง่ายๆ ตามใจและตามสไตล์ชีวิตลุงป้ามีตัง เห็นจากระเบียงที่สามารถชมวิวแบบระดับ HD แล้ว ดาดฟ้าด้านบนยังเทพกว่านั้นค่ะ เพราะคุณสามารถเห็นวิวได้มากกว่าเดิมอีก ลมก็โกรกเย็นสบาย มีปลั๊กให้ชาร์ตไฟอีกต่างหาก เข้าใจวัยรุ่นติดโทรศัพท์มากๆ ค่ะ แต่มันกลับเป็นคืนเดือนหงาย พระจันทร์สว่างสุดๆ ทำให้เราต้องพับกิจกรรมดูดาวกลางดึกไปโดยปริยาย โดนแบบนี้ยังไม่หนำใจค่ะ พวกเราปูที่นอนแล้วนอนเรียงกันบนพื้น เสียใจที่เลือกที่ผิด ไปปูที่นอนผ่านทางมดอีก เห้อ โดนมดกัดทั้งคืนค่ะ ทรมานจริงๆ 😦

IMG_8675 ed
จุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ในเนินมะปราง

เช้าถัดมาเราแวะจุดชมวิว อ.เนินมะปรางอีกครั้ง ก่อนเดินทางไปอ.บ้านมุงค่ะ ซึ่งอยู่ไม่ห่างกัน ความโดดเด่นคือวิวบนเขา ที่สามารถมองได้ชัดกว่าที่พักของพวกเรา และกิมมิกชิงช้าบนต้นไม้ใหญ่ พวกเราถ่ายรูปกันสนุกสนานทีเดียว ไม่นานเราก็ไปตามหาโลเคชั่นชิคๆ ที่อ.บ้านมุง เค้าบอกว่ามันเป็นวิวภูเขาหินปูนอายุ 300 ปีค่ะ พอไปถึงจุดหมายเรากลับไม่สามารถหาจุดปักหมุดได้ ลองไปดูในวัดบ้านมุง เดินสำรวจ และขับรถสำรวจกลุ่มเขาหินปูนดังกล่าว มันมีความสวยงามดีค่ะ แต่คงต้องใช้เวลาสำรวจมากกว่านี้ ถึงจะเจอโลเคชั่นที่ถ่ายรูปสวย เช่น ภูเขาหินปูนตั้งตระหง่านท่ามกลางทุ่งข้าว อะไรประมาณนั้นอ่ะค่ะ เราก็ดันไปช่วงที่เค้าเกี่ยวข้าวกันแล้ว เปลี่ยนมาปลูกข้าวโพดแทน ซึ่งไม่สวยเท่าใด (หรือหาจุดนั้นไม่เจอกันแน่?) หรือใช้โดรนบินถ่ายรูปวัดบ้านมุงที่ถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาหินปูน เห็นรูปตัวอย่างแล้วค่ะ สวยใช้ได้เลย แต่เนื่องจากเรามองได้แค่ในระดับสายตาปกติ ความสวยที่ว่านั้นมันใหญ่เกินไปค่ะ เรามองไม่เห็น สุดท้ายคณะของเราจึงต้องล่าถอยและไปเที่ยวจุดอื่นต่อ นั่นก็คือ จ.สุโขทัย

IMG_8731 ed2
บ้านมุง เอาจริงๆ เหมือนภูเขาหินปูนที่กระบี่?

จริงๆ แล้ววันนี้เป็นวันฟรีค่ะ ยังไม่ได้แพลนว่าจะไปไหนจริงๆ แค่คุยกันคร่าวๆ ว่าจะไปภูหินร่องกล้า ภูทับเบิก วัดผาซ่อนแก้ว (เพราะเราเองยังไม่เคยไป) แต่ในขณะที่รถกำลังมุ่งหน้าไปยังเส้นทางดังกล่าว น้องคนนึงเกิดเช็คเฟสบุ๊คขึ้นมาค่ะ เจอเพื่อนอีกคนกำลังบ่นเรื่องรถติดที่วัดผาซ่อนแก้ว เท่านั้นแหละเราเลยเลี้ยวหัวกลับทันที ไปสุโขทัยเฉยเลย แต่ดวงคนมันจะมีเรื่องมันก็มีจนได้ค่ะ ขับรถมาสักพัก อ่าว แอร์ดับซะงั้น ร้อนค่ะ อุณหภูมิตอนเที่ยงๆ กับรถตู้ไม่มีแอร์ เอ่อ… ไม่บรรยายก็คงเข้าใจ เราฝืนทนมาถึงสุโขทัยด้วยสภาพร่อแร่ เจอแสงแดดจัดๆ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเข้าไปอีก ในใจนั้นอยากถอนตัวเต็มที อยากหาร้านกาแฟนั่งกินชิวๆ แต่ต้องล้มเลิกความคิดลง เพราะเรามาเป็นกลุ่ม ปลีกไปคนเดียวได้ไง ท้ายที่สุดเราตัดสินใจเหมารถรางชมเมืองเก่ากันเลยค่ะ ขอนั่งรถให้ลมโกรกสักนิด ขอหลังคารถให้หลบแดดนักหน่อย ก็ยังดี

IMG_8871 ed5

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่เราได้มาเยือนโบราณสถานแห่งนี้ ความสวยงามนั้นยังคงตราตรึง แต่ความประทับใจต้องยกให้ครั้งแรกที่เห็นมากกว่า ความรู้สึกเหมือนตอนไปอยุธยาครั้งแรก ได้เห็นโบราณสถานก็ทำให้เราย้อนรำลึกไปถึงอดีตอันเฟื่องฟู มันน่าอัศจรรย์ค่ะที่คนสมัยก่อน สามารถสร้างอะไรใหญ่โตได้ขนาดนี้ แต่ถ้าให้เทียบความอลังการ คงต้องยกให้นครวัด นครธม ที่เขมรมากกว่าค่ะ อันนั้นมันปังกว่า ของเราก็สวยค่ะ แต่สวยแบบเรียบง่าย แบบพอเพียง สวยแบบไทย 🙂

IMG_8787 ed
ความร่มรื่นในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

พอนั่งรถรางได้สักพักจึงทราบว่า พื้นที่บริเวณโดยรอบนั้นไม่ได้ร้อนเลยค่ะ ต้นไม้เต็มไปหมด ฝรั่งปั่นจักรยานกันขวักไขว่ ได้รับการบรรยายจากเจ้าหน้าที่รถราง เลยทราบว่า ต้นไม้นี้เป็นของดั้งเดิมมาแต่แรก จำภาษาพูดเค้าไม่ได้ แต่หมายถึงว่า ใครที่ปลูก คนนั้นก็จะมีสิทธิในดอกผลของต้นนั้นๆ concept น่ารักดีค่ะ เวลาเราไปเที่ยวแบบรู้ข้อมูลนี้ดีนะคะ จะมีความสนุกเข้าไปอีกสามระดับ เพราะมันอินกับสิ่งที่เห็น ปกติไม่ค่อยจ้างไกด์อยู่แล้วเพราะงก (ฮา) หรืออ่านข้อมูลอะไรไปล่วงหน้าเพราะขี้เกียจ แค่วางแผนเรื่องสถานที่และไปถ่ายรูปที่สวยๆ ก็เหนื่อยแล้ว แต่ครั้งหน้าคงต้องขยันแล้วค่ะ เพื่อทริปที่ได้ทั้งภาพสวย จ่ายประหยัด และเข้าถึงบรรยากาศแบบ full HD 😀

เย็นวันนั้นเราก็กลับพิษณุโลกแล้วแวบไปวัดใหญ่ หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชที่งดงาม ไปไหว้กี่ครั้งก็ชอบค่ะ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้างนอกกำลังเวียนเทียนกันอยู่ เสียงดัง วุ่นวาย แต่เข้ามาในวิหารแล้วมันสงบ มองพระพักตร์พระพุทธรูปแล้วรู้สึกดี สบายใจ และเป็นสุขใจ เราจึงขอพรให้การเดินทางนี้เป็นไปด้วยความราบรื่น ค่ำนั้นรถตู้ของพวกเราก็วิ่งยาวมาถึงดอนเมืองเลยค่ะ ถึงประมาณตีสาม แล้วนั่งรอไฟลท์ช่วงเช้าหกโมงเพื่อกลับบ้าน

IMG_8822 ed
ดอกบัวกับวัดเป็นของคู่กัน 🙂

ทริปนี้จบลงค่ะ ทิ้งไว้เพียงประสบการณ์ ความสนุก มิตรภาพกับพี่น้องสมาชิก skill การดำรงชีวิตในป่า ความรู้สึกภูมิใจในการขึ้นดอย รวมถึง ความเหนื่อยล้าของต้นขา (การลงบันไดเป็นเรื่องยากมากๆ) ตาหมองคล้ำและร่องรอยลึกใต้ดวงตาจากการนอนไม่พอ รอยมดกัด และน้ำหนักเท่าเดิมอีก 😦 (ทั้งๆ ที่ควรจะลงเพราะเหนื่อยมาก)

เราใช้จ่ายไปเพียงคนละ 2400 บาท กับทริปหฤโหด 4 วัน 4 คืน นี้ ถือว่าคุ้มค่าทีเดียวค่ะ ชักจะติดใจกับการแบกเป้ขึ้นดอยเข้าบ้างแล้ว มันโหดดีค่ะ ท้าทายทั้งใจและร่างกายของตัวเองได้เป็นอย่างดี ได้ฝึกสมาธิ จิตใจไม่วอกแวก เพราะเราอาจเดินสะดุดได้ มีสติในทุกย่างก้าว รู้และกำหนดลมหายใจ แล้วพยายามหายใจลึกๆ เอาอ๊อกซิเจนเข้าไปให้มากที่สุด แล้วก็ต้องให้กำลังใจตัวเองตลอดเวลาว่า เราทำได้ ก้าวต่อไป อย่าหยุดๆ มันเป็นการแข่งกับตัวเองชัดๆ สนุกดีค่ะ 😀

อย่างเดียวที่ขอติคือ เวลานอนมันน้อยไปหน่อยค่ะ สองคืนที่นอนในรถและอีกหนึ่งคืนที่โดนมดกัด เอ่อ.. มีเพียงคืนเดียวตอนอยู่บนดอยที่นอนหลับสนิท อาจเป็นเพราะเหนื่อยสุดๆ อากาศก็กำลังดี และเตรียมเครื่องนอนมาดีอีกต่างหาก นอกนั้นจะทรมานตัวเองไปหน่อย ผิวหน้าเหมือนแก่ไปอีก 1 ปี ต้องกลับมาพักฟื้นยาวๆ พร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยออกไปท่องโลกกันอีกนะ 🙂

2 thoughts on “วิวที่สวยที่สุด…อยู่บนภูสอยดาว”

  1. อ่านแล้ว เหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้คนทำงานประจำ อยากลางานไปเที่ยวบ้าง ให้ร่างกายได้เหนื่อยท่ามกลางธรรมชาติ แทนที่จะเหนื่อยท่ามกลางมลพิษ

    Like

Leave a comment